WRITER: ชู ฮวน ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI
TRANSLATOR: ศุภิสรา เจริญศรีศิลป์
EDITOR: ฤกษ์สิน เขมสุนทร
ข้อความจากบรรณาธิการ: บทความนี้อาจมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับความคิดและการพยายามฆ่าตัวตายของผู้เขียน
มันไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันพยายามจะจบชีวิตของตัวเอง
มันเหมือนกับฉันจมอยู่ในทะเลแห่งความว่างเปล่า ในความสิ้นหวังนี้ ฉันทำได้แต่เพียงขดตัวเหมือนลูกบอล กลั้นลมหายใจ และได้แต่หวังว่าชีวิตและความเจ็บปวดของฉันจะจบลงในอีกไม่ช้า แต่ความตั้งใจของฉันก็ไม่สามารถเอาชนะสัญชาตญาณในการเอาตัวรอดของร่างกายตัวเองได้ ฉันกลั้นหายใจจนถึงจุดที่ทนไม่ไหวอีกต่อไป กล้ามเนื้อที่เกร็งอยู่ก็เริ่มคลายตัว และฉันก็กลับมาหายใจอีกครั้ง
ในค่ำคืนอันหนาวเหน็บและอ้างว้างนั้น ฉันร้องไห้ไปจนไม่มีเสียงที่จะร้อง แต่ก็ไม่มีใครเคยรู้ ไม่มีใครเคยสนใจ
ตั้งแต่เด็ก สิ่งที่โดดเด่นในชีวิตของฉันคือ การได้เกรี้ยวกราดระเบิดอารมณ์ ตะโกนเสียงดัง และกลั่นแกล้งน้องชายของฉัน ฉันมีอาการของ “Second-Child Syndrome” (หรืออีกชื่อหนึ่งคือ Middle-Child Syndrome) ฉันรู้สึกอยู่เสมอว่าฉันเป็นลูกที่ประสบความสำเร็จน้อยที่สุด ฉันเลยได้รับการยอมรับจากพ่อแม่น้อยที่สุด ผลการเรียนของฉันไม่เคยดีเท่าน้องชาย และกิจกรรมนอกเวลาที่ฉันทำในโรงเรียนก็ไม่ได้เป็นที่น่าภาคภูมิใจเท่าพี่สาว
จากการที่ฉันไม่ค่อยเห็นคุณค่าในตัวเอง ทางระบายออกของฉันก็คือการใช้คำหยาบคายรุนแรง และการกระทำที่แสดงออกถึงความไม่พอใจในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ทำให้พ่อแม่ของฉันเหนื่อยใจมาก แต่ถึงแม้ว่าพวกเขาจะตีและดุด่าฉันด้วยความโกรธ ในวันถัดไปฉันก็จะทำแบบเดิมอีก
เมื่อฉันก้าวเข้าสู่ภาวะที่เริ่มต่อต้านผู้ใหญ่ของวัยรุ่น ฉันมักจะขี้โมโหเวลาอยู่ที่บ้าน และจะโทษพ่อแม่อยู่ตลอดว่าเป็นความผิดของพ่อที่เข้มงวดเกินไปและแม่ที่ชอบโกรธง่าย ถึงแม้ว่าฉันจะมีเพื่อนอยู่รอบตัวมากมาย แต่ในหัวใจของฉันกลับรู้สึกว่ามีหลุมดำที่ลึกลงไปแบบไม่มีที่สิ้นสุด
ความว่างเปล่าที่ฉันมีไม่สามารถถูกเติมเต็มได้ด้วยเสียงหัวเราะหรือมุกตลกใดๆ ทุกวันกิจวัตรของฉันคือไปโรงเรียน และหลังเลิกเรียนก็ไปเรียนพิเศษและทำกิจกรรมนอกเวลา ชีวิตฉันดูเหมือนจะยุ่งอยู่ตลอด แต่สิ่งเหล่านั้นมันกลับไร้ความหมาย ทั้งหมดทั้งมวลนี้มันทำให้ฉันหันมาตั้งคำถามในเรื่องความหมายของชีวิต และในที่สุดฉันก็เริ่มคิดถึงการจบชีวิตของตัวเองลง
แผนการต่างๆ เริ่มวนเวียนอยู่ในความคิดของฉัน ครั้งหนึ่งฉันเคยเอามีดโกนมาพยายามกรีดข้อมีดตัวเอง แต่ฉันก็ไม่สามารถกลั้นใจจมมีดลงไปในเนื้อได้ ฉันยังเคยพยายามฆ่าตัวตายด้วยการทำให้ตัวเองขาดอากาศหายใจอยู่ใต้ผ้าห่ม แต่สุดท้ายก็ยอมแพ้ วิธีที่ฉันเกือบจะทำสำเร็จที่สุดคือการที่ฉันหยิบเชือกเพื่อจะไปแขวนคอตัวเองใต้ต้นไม้ต่อหน้าต่อตาแม่ของฉัน ซึ่งมันสร้างความอึดอัดใจให้กับแม่ของฉันเป็นอย่างมาก
ด้วยความไร้เดียงสา ฉันคิดว่าหลังจากที่ฉันตายแล้วฉันจะได้ไปเกิดใหม่ และจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่กับครอบครัวใหม่และสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ
ความจริงที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของฉัน
พระเจ้าทรงรักโลกดังนี้ คือได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ (ยอห์น 3:16)
ฉันไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ฉันเริ่มรับหนังสือและเอกสารเกี่ยวกับพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์สำหรับคนหนุ่มสาวทุกเดือน ด้วยการออกแบบที่แปลกใหม่และเต็มไปด้วยเนื้อหาที่อัดแน่น ฉันก็ได้รู้จักกับเรื่องราวของศาสนาคริสต์ ขณะที่ฉันอ่านมากขึ้น ฉันก็ได้รู้ว่าสิ่งที่รอคอยเราหลังความตายนั้นคือการพิพากษา ไม่ใช่การเกิดใหม่ ทุกคนจะต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตนเองทำตลอดการใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้ และต้องรายงานสิ่งที่เราทำมาทั้งหมดต่อหน้าพระเจ้าผู้ประทานชีวิตแก่เรา
เมื่อฉันเริ่มนึกถึงความผิดพลาดต่างๆ ที่ฉันเคยทำ รวมถึงทุกอย่างที่ฉันเคยทำร้ายคนที่รักฉันให้เจ็บปวด ฉันได้รู้ว่าถ้าฉันฆ่าตัวตายไป ฉันจะต้องได้รับการลงโทษอย่างหนัก ฉันกลัวจนตัวสั่น
ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์มีเมตตาต่อความอ่อนแอของฉัน พระองค์ได้หยุดฉันในทุกๆ ครั้งที่ฉันพยายามจะฆ่าตัวตาย และไม่ใช่เพียงแค่นั้น ความจริงที่พระเจ้าทรงส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์คือพระเยซูคริสต์ลงมายังโลกนี้และตั้งใจเสียสละพระองค์เองบนไม้กางเขน เพื่อชำระความผิดบาปทั้งหมดของฉันเพื่อที่ฉันจะได้กลับคืนดีกับพระเจ้านั้นได้ดึงดูดความสนใจของฉัน ฉันรู้สึกทึ่งกับพระสัญญาของพระเจ้าที่บอกว่าใครก็ตามที่เชื่อและติดตามพระเยซูคริสต์จะสามารถสร้างความสัมพันธ์กับพระเจ้าและมีความสุขใจ (หรือความชื่นชมยินดี) ไปกับพระองค์ตลอดชีวิตของเรา นี่เป็นข่าวที่น่าอัศจรรย์อย่างเหลือเชื่อจริงๆ
ต่อมาฉันก็กลายเป็นคนที่สนใจอยากจะรู้จักกับพระเจ้ามากขึ้น แต่ฉันก็ยังคงกังวลเกี่ยวกับการกลัวไม่ได้รับการยอมรับจากพ่อแม่ ดังนั้นฉันจึงไม่ได้ไปโบสถ์ถึงแม้ว่าฉันจะอยากไปก็ตาม
แต่แล้ววันหนึ่ง พี่สาวคนโตของฉันก็ได้มอบชีวิตของเธอให้กับพระเยซูคริสต์ผ่านการประกาศจากเพื่อนของเธอ และนั่นก็เป็นโอกาสของฉันที่จะได้ตามพี่สาวของฉันไปโบสถ์ ในวันนั้นเอง ฉันก็ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดและองค์เจ้าชีวิตของฉัน
ในตอนนี้ฉันเป็นคริสเตียนมาหลายปีแล้ว ความจริงอันล้ำค่าในพระคัมภีร์ได้นำฉันออกจากชีวิตที่มีแต่การกล่าวโทษและการสงสารตัวเอง พระวจนะของพระเจ้าได้ฟื้นฟูจิตวิญญาณของฉัน (สดุดี 23:1-3) และเปลี่ยนมุมมองในการมองโลกของฉัน
ฉันตระหนักได้ว่าการมีชีวิตอยู่ของฉันไม่ใช่ความผิดพลาด แต่ชีวิตของฉันถูกถักทอขึ้นอย่างมีเป้าหมายโดยพระเจ้าผู้ทรงรักฉัน
ในตอนนี้ชีวิตฉันมีพระคริสต์แล้ว พระองค์ทรงมองดูทุกย่างก้าวและทุกการตัดสินใจของฉัน เมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันเริ่มเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นอีก หรือกำลังตกลงไปในหลุมแห่งความโศกเศร้าและความอ้างว้าง พระวจนะของพระเจ้าในพระคัมภีร์จะเป็นดั่งเสียงอ่อนโยนที่ข้างหูซึ่งคอยปลอบประโลมใจที่ชอกช้ำของฉัน
เรามีโอกาสเดียวในการใช้ชีวิต
ในครอบครัวฝั่งพ่อของฉัน เคยมีคนเป็นโรคแพ้ภูมิคุ้มกันตัวเองหรือโรคลูปัส (หรือโรค SLE) และน่าเศร้าที่ลูกพี่ลูกน้องของฉันตรวจพบว่าเป็นโรคนี้เมื่ออายุได้เพียง 19 ปีเท่านั้น ร่างกายของเธอทรุดลงอย่างรวดเร็ว และเธอต้องเริ่มต้นกระบวนการกรองของเสียจากเลือด (การฟอกไต) ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ถึงแม้ว่าเธอจะต้องลาออกจากโรงเรียนเพราะข้อจำกัดด้านสุขภาพของเธอ แต่เธอก็ยังคงทำคะแนนได้สูงที่สุดในการสอบวัดระดับทั่วประเทศของมาเลเซีย (Malaysian Certificate of Education Exam – การจัดสอบวัดระดับทั่วประเทศสำหรับนักเรียนที่กำลังจะจบมัธยมปลายที่มาเลเซีย) แต่หลังจากนั้นร่างกายของเธอก็กลับทรุดโทรมลงเร็วขึ้นมากกว่าที่คาดไว้
ในขณะที่เพื่อนๆ ของเธอกำลังวุ่นอยู่กับการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ตัวเธอเองนั้นกลับถูกส่งไปโรงพยาบาลเพื่อการผ่าตัดใหญ่ครั้งแล้วครั้งเหล่า เธอป่วยหนักขึ้นมากจนไม่สามารถกินอะไรได้และผอมลงๆ ทุกวัน จนในที่สุดเธอก็ไม่สามารถต่อสู้กับโรคนี้ได้อีกต่อไป และได้มอบลมหายใจสุดท้ายของชีวิตไว้ในโรงพยาบาล และนั่นคือฉากสุดท้ายของชีวิตที่แสนสั้นและยากลำบากของเธอ
ในการจากไปของลูกพี่ลูกน้องของฉัน ทั้งครอบครัวและเพื่อนๆ ของฉันรู้สึกว่าช่างน่าสงสารเหลือเกินที่เธอมีชีวิตอันแสนสั้น การจากไปของเธอได้ย้ำเตือนเราอีกครั้งถึงคุณค่าของชีวิต และย้ำว่าชีวิตของเราถ้าได้เสียไปครั้งหนึ่งแล้วนั้น จะไม่สามารถทวงคืนกลับมาได้อีก
เมื่อนึกย้อนกลับไปถึงการใช้ชีวิตอย่างไม่แคร์สื่อของฉัน มันทำให้ฉันรู้สึกละอายจนแทบรับไม่ได้
ถึงแม้ว่าพวกเราจะไม่สามารถควบคุมสถานการณ์หรือความยากลำบากใดๆ ที่เข้ามาได้ แต่พวกเราสามารถตัดสินใจที่จะเลือกได้ว่าจะตอบสนองต่อสิ่งเหล่านั้นยังไง
เมื่อฉันมองย้อนกลับไปในอดีต ฉันคิดไม่ออกเลยว่าในวันนี้ตัวฉันจะเป็นยังไง ถ้าพระเจ้าไม่ได้นำฉันให้เข้ามาหาพระองค์ บางทีฉันอาจจะเป็นเหมือนกับใบไม้ที่เหี่ยวแห้ง เวียนวนอย่างไร้จุดหมายอยู่ในมหาสมุทรแห่งชีวิตที่เวิ้งว้าง พยายามค้นหาความหมายของการเกิดมาอยู่อย่างสูญเปล่าก็เป็นได้
ความตั้งใจในการฆ่าตัวตายของฉันช่วยให้ฉันตระหนักได้ว่า “ขโมยนั้นย่อมมาเพื่อจะลัก ฆ่า และทำลาย แต่พระเยซูมาเพื่อพวกเขาจะได้ชีวิตและจะได้อย่างครบบริบูรณ์” (ยอห์น 10:10)
แม้เมื่อเราพบว่ามันยากมากที่จะยอมรับตัวเอง แต่พระวจนะของพระเจ้าก็ยืนยันกับเราว่าพระองค์ได้ให้คุณค่ากับเราและปรารถนาที่มอบความหวังแห่งชีวิตใหม่ให้กับเรา
หากคุณรู้สึกว่าชีวิตของคุณว่างเปล่าและไร้ความหมาย และถ้าคุณเคยมีความคิดอยากจะฆ่าตัวตาย
วันนี้คุณจะลองเลือกรับข้อเสนอของพระเยซูดูไหม?
YOU MAY ALSO LIKE
จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าฉันไม่อยากอ่านพระคัมภีร์หรืออธิษฐาน
WRITER: ฉีฉี ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: นิศารัตน์ มั่นเกตุEDITOR: กรชวัล เพชรเลิศอนันต์ มันเป็นอีกหนึ่งวันที่ยาวนาน ในระหว่างที่ดูแลพวกลูกๆ สะสางงานต่างๆ ก็แทบจะไม่มีเวลาให้ได้พักหายใจเลย เมื่อลูกๆ...
ฉันมีส่วนรับผิดชอบในความรอดของเพื่อนหรือไม่?
WRITER: เมดาลีน คาลู ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: PinkEDITOR: Thitikarn Nithiuthai (Mesy) ฉันยังจำช่วงเวลาที่ฉันเริ่มต้นความสัมพันธ์กับพระเยซูได้ ราวกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ทุกอย่างเริ่มต้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ในช่วงที่อากาศหนาวเย็นของเดือนมกราคม ฮันนาห์...
เสียงที่ดังพอ
WRITER: GRACESaoriEDITOR: Mustard Seed Team เคยไหม? ที่ในบางครั้งเสียงของใครบางคนก็ดังกว่าเสียงของตัวเอง เสียงนี้มักดังเร้าอยู่ภายในใจ บ่อยครั้งในเมื่อเราอยู่ในช่วงที่คิดไม่ตก ฟุ้งซ่าน หาทางออกไม่เจอหลายๆ สิ่ง แต่จะมีเสียงๆ นี้แหละ ที่กลับดังขึ้นมาหัวใจ...