WRITER: คริส เวล ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI
TRANSLATOR: สรสิทธิ์ ธัมมารักขิตานนท์
EDITOR: นารดา ไทรงาม
คริส เวล เป็นบรรณาธิการของพันธกิจมานาประจำวันในสหราชอาณาจักร เขามีของประทานในการสอนพระคัมภีร์ ไม่ว่าจะผ่านทางการเทศนา การนำกลุ่มศึกษาพระคัมภีร์ หรือการเขียนบทความ เขาอยู่กับภรรยาและลูกชายสองคน เขาเป็น ‘พ่อบ้าน’ผู้รักในการใช้เวลากับครอบครัว ออกไป ‘ผจญภัย’ และใช้เวลาเล่นสนุกกับลูกๆ ของเขา
ที่โรงเรียน ผมไม่ค่อยเก่งวิชาคณิตศาสตร์มากนัก ถ้าให้พูดตรงๆ คือผมห่วยแตกเลยหละ
ผมเลยต้องเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ ‘ถูกเชิญ’ ให้อยู่ต่อหลังเลิกเรียนเพื่อฝึกทักษะการแก้สมการ
เย็นวันหนึ่ง พวกเราต้องแก้โจทย์ที่ยากมากๆ (ประเภทที่มีจำนวนตัวแปรเยอะพอๆ กับจำนวนตัวเลข) หลังจากผ่านไป 10 นาที พวกเราแต่ละคนได้คำตอบที่ไม่เหมือนกัน คงเป็นไปไม่ได้ที่เราทุกคนจะทำถูก เอ..หรือว่าทุกคนทำถูกหมด? เพราะว่าความจริงเป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาจริงมั้ย?
พวกเราสามารถจะเปรียบเทียบคำตอบของแต่ละคน และคุยกันว่า “เรามาตกลงกันเถอะ พวกเราไม่จำเป็นต้องทะเลาะกันเพราะเรื่องนี้ เราทุกคนล้วนมีคำตอบที่ถูกต้องสำหรับตัวเอง” พวกเราอาจเชื่อมั่นในตัวเองว่าเข้าใจโจทย์คณิตข้อนี้แล้ว แต่เราทุกคนก็จะสอบตก เพราะไม่มีสักคนเดียวที่แก้โจทย์สมการนี้อย่างถูกต้อง จริงๆ มันมีวิธีการคิดคำนวนที่ถูกต้องและมีคำตอบที่ถูกต้องอยู่แล้ว นั่นคือความจริงแท้ที่หนักแน่น
อะไรทำให้การเป็นคริสเตียนพิเศษนัก?
ผู้คนมากมายพูดว่าทุกศาสนาสอนในสิ่งเดียวกัน ตราบใดที่เรายังยึด “ความจริงในแบบของเรา” เราทุกคนจะสบายดี แต่ถ้าเราเริ่มถามสามคำถามหลักของศาสนาต่างๆ ในโลกนี้ (แหล่งกำเนิดมาจากที่ไหน? เป้าหมายสูงสุดคืออะไร? ทำอย่างไรเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้น?) เราจะเห็นทันทีว่าแต่ละศาสนาสอนความจริงเกี่ยวกับโลกนี้และเป้าประสงค์ของเราแต่ละคน สอนต่างกันอย่างสิ้นเชิง
พระเยซูนั้นแตกต่างจากผู้นำศาสนาคนอื่นๆ ที่เคยมีมา พระองค์ทำให้ผู้คนไม่พอใจโดยการอ้างตัวเป็นพระเจ้า (ยอห์น 10:33) และพระองค์ยังพูดอย่างชัดเจนว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีใครมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา” (ยอห์น 14:6) ไม่ใช่ทางหนึ่ง แต่เป็น ทางนั้น
ในพระคัมภีร์ เปาโลได้สรุปหลักฐานที่รองรับการกล่าวอ้างของพระเยซูไว้อย่างสวยงามว่า
เพราะว่าข้าพเจ้าได้มอบเรื่องสำคัญที่สุดที่ได้รับมานั้นแก่พวกท่านคือพระคริสต์วายพระชนม์เพราะบาปของเรา ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ และทรงถูกฝังไว้ แล้ววันที่สามพระองค์ทรงถูกทำให้เป็นขึ้นมา ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์…ต่อจากนั้น พระองค์ทรงปรากฏต่อพี่น้องกว่าห้าร้อยคนในเวลาเดียวกัน ที่ส่วนมากยังมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้…(1 โครินธ์ 15:3-6)
บันทึกต่างๆ ที่เขียนหลังช่วงเวลาที่พระเยซูดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ทำให้เรารู้ว่าจำนวนคริสเตียนนั้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าพวกเขาจะถูกตามล่า ถูกจำคุก ถูกทุบตี ถูกนำไปเป็นอาหารของสิงโต และถูกฆ่าตาย เหล่าสาวกของพระเยซูและบรรดาผู้ที่เชื่อในถ้อยคำของพวกเขาไม่มีท่าทีหยิ่งยโสต่อการเป็นคริสเตียน พวกเขามั่นใจอย่างยิ่งว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าและเป็นทางเดียวที่พวกเขาจะรอด พวกเขาจึงพร้อมที่จะตายเพื่อความเชื่อ ทุกวันนี้พวกเราอยู่บนความจริงเดียวกัน ซึ่งอิงจากข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับพระเยซู ทั้งชีวิต ความตาย และการฟื้นพระชนม์ของพระองค์
การสำแดงชีวิตคริสเตียนของเราเย่อหยิ่งรึเปล่า?
ความเชื่อของเรานั้นไม่ได้เย่อหยิ่ง แต่เป็นเพราะเราเคยมีประสบการณ์ที่เห็นพระเจ้ากระทำการและสำแดงพระองค์ให้เป็นที่ประจักษ์ เราเพียงแค่ต้องการให้เพื่อนและครอบครัวของเราได้รับรู้และไม่พลาดไปจากความจริงนี้! แต่บางครั้งมันอาจดูเหมือนว่าเราเย่อหยิ่ง จากการนำเสนอสิ่งที่เราเชื่อ
บ่อยครั้งผมพบว่าตัวเองรู้สึกกดดันที่คริสตจักรและเพื่อนคริสเตียนบอกให้ผม “บังคับ” คนให้มาเป็นคริสเตียน
ผมรู้สึกว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะแบ่งปันความเชื่อของผมให้กับคนที่ไม่เป็นคริสเตียน ความเครียดในการทำสิ่งนั้นทำให้ผมเริ่มมองผู้คนเป็น “ชิ้นงาน” มากกว่าที่จะเป็นเพื่อน สิ่งนี้แหละที่ทำให้คนอื่นมองเป็นความเย่อหยิ่งและการบงการ การที่เพื่อนของเรารู้สึกว่าสิ่งเดียวที่เราต้องการจากพวกเขาคือการพูดคุยเรื่องพระเจ้า
แล้วเราจะเล่าเรื่องราวของพระคริสต์กับคนรอบข้างด้วยท่าทีที่สุภาพและแสดงถึงความเคารพได้อย่างไร? ถ้าคุณเคยรู้สึกเหมือนกับผม นี่เป็นคำแนะนำที่อาจช่วยคุณได้
ผมได้ยินวิทยากรคริสเตียนคนหนึ่งหนุนใจให้เราลงทุนกับคนที่เรารัก เพียงเพราะสิ่งที่เขาเป็น และเพื่อมีความสุขในการสัมพันธ์กับพวกเขา นั่นไม่ได้หมายความว่าวิทยากรคนนั้นไม่ให้ความสำคัญกับการพูดเรื่องพระเยซู แต่เมื่อเรามีความสัมพันธ์ที่ดีกับพวกเขาแล้ว จะมีหลายโอกาสให้เราสามารถแบ่งปันว่าพระเยซูคือใครและทำอะไรในชีวิตของเรา ถ้าพวกเขามีปฏิกิริยาตอบสนองที่ดี บทสนทนาอีกมากมายก็จะตามมา แต่หากพวกเขาตอบสนองในเชิงลบ แทนที่เราจะยิ่งกดดันหรือทำให้อีกฝ่ายเกิดความเครียด เราแค่ถอยออกมาและยังคงพัฒนาความสัมพันธ์ในแบบที่พวกเขาเป็น อธิษฐาน รอโอกาสครั้งต่อไป
คำสอนของวิทยากรคนนั้นอยู่บนหลักการที่พระเยซูสอนสาวกของพระองค์ เมื่อพระองค์ส่งพวกเขาออกไป
“(ประกาศ)ให้ทุกคนกลับใจใหม่” (มาระโก 6:12) แล้วพระองค์ตรัสสั่งพวกเขาว่า “เมื่อเข้าอาศัยในบ้านไม่ว่าที่ไหน ให้อาศัยในบ้านนั้นจนกว่าจะออกจากเมืองนั้น ถ้าที่ไหนไม่ต้อนรับและไม่ฟังพวกท่าน เมื่อจะออกจากที่นั่น จงสะบัดผงคลีใต้ฝ่าเท้าของพวกท่านออก ส่อให้เห็นความผิดของพวกเขา” (มาระโก 6:10-11)
พระเยซูกำลังบอกให้สาวกของพระองค์สังเกตดูผู้คนที่พวกเขาพูดคุยด้วย ถ้าคนเหล่านั้นต้องการจะฟังมากขึ้น จึงเทศนา ถ้าพวกเขาไม่สนใจ สาวกก็ต้องเคารพในการตัดสินใจของพวกเขา
มันเป็นสิ่งที่เจ็บปวดเมื่อต้องเห็นคนที่เราเป็นห่วงไม่สนใจเลยเวลาที่เราเล่าเรื่องราวของพระเยซู
ถ้าเรายังคงกดดันและรบเร้าให้พวกเขาเชื่อโดยการยกเหตุผลต่างๆ นานา มันก็จะส่งผลร้ายมากกว่าผลดี แต่ถ้าเราแค่แบ่งปันเรื่องราวของพระเยซูกับพวกเขาเมื่อเขาพร้อมและตั้งใจที่จะฟัง เราได้มอบพื้นที่ให้พวกเขาตัดสินใจด้วยตัวเอง ในเวลาที่พร้อม
เมื่อเรามองย้อนไปถึงการเดินทางกับพระเยซู เราแต่ละคนล้วนมีช่วงเวลา (หรือฤดูกาล) ที่เราตัดสินใจเลือกพระองค์ เราไม่ได้ถูกใครบังคับ เราพบกับพระองค์ด้วยตัวเองและไม่คิดจะหันหลังกลับ สิ่งนี้ก็จะเกิดขึ้นกับคนที่เราแบ่งปันเรื่องราวของพระองค์ด้วย เราจะไม่ทำให้เกิดข้อครหาว่าเราเย่อหยิ่งและเป็นการยอมให้บทสนทนาในเชิงบวกได้เติบโต ก็ต่อเมื่อเราให้พื้นที่ในการตัดสินใจกับคนอื่นที่จะเดินกับพระเจ้าในเวลาที่พวกเขาพร้อม การเรียนรู้ที่จะอดทนรอคอยสอนให้เราวางใจที่จะฝากทั้งหมดไว้กับพระเจ้า พระองค์ผู้เดียวที่สามารถเปิดตาฝ่ายวิญญาณให้ผู้คนมองเห็นความจริง
YOU MAY ALSO LIKE
กังวลจนไม่หลับไม่นอน
WRITER: Mustard Seed TeamEDITOR: Mustard Seed Team ฉันนอนไม่หลับทั้งคืน บางคืนเราก็มีอาการนอนไม่หลับ หลับๆ ตื่นๆ พอเช้าตื่นมาก็ไม่สดชื่น อารมณ์ไม่ดี การนอนไม่หลับส่งผลกระทบต่อคนส่วนใหญ่เป็นครั้งคราว แต่สําหรับบางคนอาจเจอปัญหานี้เป็นประจำ...
ทำไมเราถึงไม่กล้าปฏิเสธ
WRITER: ซาร่า โซ ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: สุมิตรา ชามรามดาบานEDITOR: ปวีณา นิลบุตร “ถ้าใช่ก็จงบอกว่าใช่ ถ้าไม่ใช่ก็จงบอกว่าไม่ใช่” (ยากอบ 5:12) ขณะที่ฉันเขียนข้อความนี้ ฉันเพิ่งจะพูดว่า "ไม่" ที่จะฟังความขัดข้องใจของแม่เรื่องคนสนิทในครอบครัว...
พระเจ้าช่วยฉันผ่านประสบการณ์เลวร้าย (ถูกล่วงละเมิดทางเพศ)
WRITER: แคทเธอรีน ฟลินน์ ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: Mustard Seed TeamEDITOR: Mustard Seed Team ในปี 2003 ฉันอายุ 24 ปี และอาศัยอยู่ในประเทศอังกฤษตอนที่ฉันถูกล่วงละเมิดทางเพศโดยเพื่อนร่วมห้องของฉัน...