WRITER: แดน แพทเธอสัน ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI
TRANSLATOR: นารดา ไทรงาม
EDITOR: อาเกียว
แดน แพทเธอสัน เป็นวิทยากรบรรยายของ Ravi Zacharias International Ministries และอาศัยอยู่ที่บริสเบนออสเตรเลีย แดนเป็นศิษยาภิบาล และเป็นนักพูดส่วนใหญ่ในหัวข้อเกี่ยวกับพระกิตติคุณนั้นเกี่ยวข้องกับคำถามที่ใหญ่ที่สุดของชีวิตอย่างไร และในหัวข้อที่เป็นที่สนใจเกี่ยวกับความเชื่อคริสเตียน โดยเน้นไปที่เรื่องของความทุกข์ยาก แดนแต่งงานกับ Erin และมีลูกชายสองคนคือ Josias และ Zachariah
ใครก็ตามที่เชื่อพระเจ้ามาเป็นเวลานาน ได้แชร์บางอย่างที่เหมือนกัน คือความผิดหวัง พอมาถึงจุดหนึ่ง เราเริ่มถามตัวเองว่า ทำไมฉันถึงไม่รู้สึกเชื่ออีกต่อไป ทำไมยังรู้สึกเหงาถ้าพระเจ้าอยู่ด้วย ทำไมชีวิตไม่เป็นไปอย่างที่คาดหวังไว้ แม้แต่กษัตริย์ดาวิดก็ร้องทูลพระเจ้าว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ทำไมพระองค์จึงทรงประทับอยู่ไกลแสนไกล?” ทำไมพระองค์จึงทรงซ่อนพระองค์เสียในยามที่ข้าพระองค์ลำบาก? (สดุดี 10:1)
ดูเหมือนว่าการมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าที่ทรงพลานุภาพและดีตลอดเวลา ไม่ได้เป็นไปอย่างที่เราจินตนาการไว้ ทำไมเราถึงสัมผัสพระเจ้าไม่ได้ในช่วงเวลาที่ต้องการพระองค์มากที่สุด? ทำไมพระองค์ถึงซ่อนตัวจากเรา?
ในการค้นหาคำตอบ เราจะมาสำรวจจากพระคัมภีร์ 3 ฉากด้วยกัน: สวนเอเดนในปฐมกาล, สวนเกทเสมณีและโกละโกธาในพระกิตติคุณ, และสวนสวรรค์ในวิวรณ์ ดูจากฉากเหล่านี้ เราน่าจะเห็นได้ว่าการซ่อนตัวของพระเจ้าไม่ได้แปลว่าพระองค์ไม่รักเรา แต่พระเจ้าซ่อนเพราะรักเราต่างหาก การปรากฏและการไม่ปรากฏของพระเจ้าเป็นความตั้งใจของพระองค์ซึ่งเป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่และแสนดี มีแต่พระองค์เท่านั้นที่รู้ว่าเราควรได้พบพระองค์เมื่อไรและด้วยรูปแบบอย่างไร
ฉากที่ 1: สวนเอเดนในปฐมกาล
พระคัมภีร์เริ่มต้นด้วยมิตรภาพที่แน่นแฟ้นระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ ว่ากันว่าอาดัมและเอวา บิดามารดาคู่แรกของเราได้เดินกับพระเจ้าในสวนเอเดน เราถูกสร้างเพื่ออยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้ เพื่อความสนิทสนม เพื่อพูดคุยกับพระองค์หน้าต่อหน้า
แต่ในปฐมกาลบทที่ 3 มนุษย์ทำบาป เรายอมแลกความสัมพันธ์ที่มีกับพระเจ้ากับความต้องการที่ผิดบาป เราหล่นลงมาจากการทรงเรียกสูงสุดในฐานะพระฉายาของพระเจ้าและแตกหักกับพระองค์
จากที่มนุษย์เคยสามารถเปิดเผยต่อพระเจ้าและต่อซึ่งกันและกันอย่างหมดเปลือก โดยไม่รู้สึกอับอายอะไร แต่ตอนนี้ เรากลับต้องซ่อนอยู่หลังใบมะเดื่อและใบเฟิร์น
มนุษย์เริ่มซ่อนตัวจากพระเจ้ามานานแล้ว ก่อนที่จะรู้สึกว่าพระเจ้าอยู่ห่างไกลเสียอีก
และเพื่อตอบสนองต่อความบาปของมนุษย์ พระองค์เองก็ซ่อนตัว พระองค์ไม่อาจเดินกับเราในสวนยามเย็นอีก ทำไมล่ะ คำตอบที่ซับซ้อนคือ เพื่อทั้งลงโทษและปกป้องเรา
การถูกแยกออกจากแสงสว่าง ชีวิต และความรักของพระเจ้าเป็นโทษหนึ่งของความบาป และมันเป็นโทษที่นำไปถึงความตาย
แต่การซ่อนตัวของพระเจ้าก็เป็นการกระทำของการปกป้อง ความเมตตา และความหวัง
ความบริสุทธิ์ของพระเจ้าเป็นเหมือนดวงอาทิตย์ อะไรก็ตามที่ไม่ได้เป็นเหมือนดวงอาทิตย์และพยายามเข้าถึงมันก็จะถูกทำลาย ซึ่งพระคัมภีร์พูดถึงพระเจ้าอย่างถูกต้องว่าเป็นเหมือนเพลิงที่เผาผลาญ(ฮีบรู 12:29) หรือผู้ที่สถิตในความสว่างที่ไม่มีใครเข้าใกล้ได้(1 ทิโมธี 6:16) คนที่ยังมีบาปไม่สามารถอยู่ต่อหน้าพระเจ้าโดยที่ยังมีชีวิตอยู่
สวรรค์จะเป็นเหมือนกับนรกสำหรับคนที่ยืนต่อหน้าพระเจ้าหากคนนั้นยังไม่ได้ถูกสร้างใหม่
ฉากที่ 2: สวนเกทเสมนีและโกละโกธาในพระกิตติคุณ
เป็นเวลาหลายศตวรรษในอดีตที่พระเจ้าให้มนุษย์อยู่ใกล้พระองค์แค่เอื้อมมือ โดยจุดที่จะพบพระองค์ได้อยู่บนยอดเขาสูงหรือในพระวิหาร แต่เมื่อพระเยซูมา พระองค์เป็นพระเจ้าที่เสด็จมาอยู่กับเราอีกครั้งตามพระสัญญาที่ให้ไว้ แต่พระองค์เองก็ต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่มืดมิดเช่นกัน
ในสวนเกทเสมนี พระเยซูอธิษฐานขอที่จะไม่ต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานของการถูกตรึงที่กางเขน พระองค์ถูกทำให้หมดกำลังด้วยภาระหนักของเหตุการณ์ที่กำลังจะมาถึง คงเหมือนเราหลายๆคนที่รู้สึกบ่อยๆ คำอธิษฐานของพระองค์เหมือนหายไปในท้องฟ้า
แทนที่จะรอดจากความตายที่แสนเจ็บปวด พระเยซูต้องทนต่อการถูกตัดขาดจากความบริสุทธิ์ของพระเจ้า ในขณะที่พระองค์ทุกข์ทรมานที่สุด
บทกางเขน พระองค์ร้องว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์ ทำไมพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์” (มาระโก 15:34)
พระเจ้ารู้ดีว่าการตั้งคำถามกับพระเจ้าเป็นยังไง
แน่นอน พระเจ้าพระบิดารักพระเยซูในแบบที่เราไม่อาจเข้าใจ ถ้ามองจากมุมมองของมนุษย์ ดูเหมือนพระเยซูถูกทอดทิ้ง จนกระทั่งเช้าวันอีสเตอร์ วันที่ดูเหมือนเป็นความพ่ายแพ้กลับตาลปัตรด้วยการคืนพระชนม์ สิ่งต่างๆ เป็นไปตามที่พระเจ้าวางแผนไว้อย่างแม่นยำและเราได้เห็นภาพว่าทำไมพระเจ้าถึงไม่ตอบคำอธิษฐานของพระเยซู
ผ่านการตายของพระเยซู พระเจ้าซื้อการไถ่บาปให้ทุกคนที่เชื่อวางใจ และโดยการคืนพระชนม์ของพระเยซู พระเจ้าประทานชีวิตนิรันดร์แก่ทุกคนที่เชื่อ และบัดนี้เราสามารถได้รับการเติมเต็มจากการทรงสถิตของพระเจ้าที่เราสัมพันธ์ด้วย พระองค์เข้ามาดำรงอยู่ภายในเราผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์
พระเจ้าไม่เปิดเผยเพื่อให้เกิดสิ่งที่ดียิ่งกว่าผ่านระยะห่างและความมืดมิด
ฉากที่ 3: สวนสวรรค์ในวิวรณ์
สามบทสุดท้ายของพระคัมภีร์บรรยายถึงการเสด็จกลับมาของพระเยซูและการเริ่มต้นของนิรันดร์กาล ฉากนี้ถูกวาดภาพไว้สองชั้น คือการพิพากษาครั้งสุดท้ายและการสมรส คำถามคือ เราจะมาในแบบไหน?
ในการพิพากษา ทุกคนที่ยึดติดกับความชั่วร้ายแทนที่พระเยซูจะถูกเนรเทศออกจากโลกใหม่ของพระเจ้า
พระเจ้าเสด็จมาใกล้แล้วเพื่อทำให้ทุกสิ่งกลายเป็นสิ่งใหม่ และพระสิริที่แท้จริงแห่งการสถิตอยู่ของพระองค์จะมาแทนที่ดวงอาทิตย์ บาปใดๆ ก็ไม่อาจต้านฤทธิ์อำนาจแห่งพระสิรินั้นได้ เพราะฉะนั้น การสิ้นสุดของการซ่อนตัวของพระเจ้าคือการสิ้นสุดของความเสื่อมทรามชั่วร้าย
แต่สำหรับคริสเตียน – คนที่หลุดออกมาความชั่วร้ายนั้นได้รับการยกโทษและถูกสร้างใหม่แล้วโดยพระเยซู การเสด็จกลับมาของพระเจ้าป่าวประกาศถึงการเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นไป เราสามารถดื่มด่ำในความสนิทสนมกับพระเจ้าแบบหน้าต่อหน้า ใช้ชีวิตอย่างที่เราถูกออกแบบมา ทุกอณูของร่างกายที่ฟื้นคืนเต็มล้นด้วยความดีงามของพระเจ้า
ถ้าอนาคตคือการที่พระเยซูเสด็จกลับมาเพื่อรับเจ้าสาวที่เตรียมพร้อมแล้ว ปัจจุบันของเราก็คือช่วงหมั้นหมาย เป็นช่วงเวลาที่มีความปรารถนาอย่างแรงกล้า
เมื่อเราเข้าใกล้พระเจ้ามากขึ้นในความสัมพันธ์กับพระองค์ เราก็ปรารถนาที่จะเห็นพระองค์หน้าต่อหน้ามากขึ้นเช่นกัน
และเนื่องจากความรักคือเป้าหมายสุดท้ายของเรา การซ่อนตัวของพระเจ้าในตอนนี้ก็เพื่อสอนเราให้เป็นคนรักที่ดีกว่าเดิม
พระเจ้าซ่อนตัวเพื่อช่วยให้เราเป็นผู้แสวงหาอย่างที่เราควรจะเป็น
เมื่อมองภาพการปรากฎหรือไม่ปรากฎของพระเจ้าจากความสูง 30,000 ฟุตคือตั้งแต่ปฐมกาลจนถึงวิวรณ์ เราทุกคนจำเป็นที่ต้องเข้าใจภาพนี้ มันยากที่จะเห็นทางออกในคืนที่มืดมิดของชีวิต การรับรู้ว่าพระเจ้ากำลังทำอะไรในภาพ “ใหญ่”จะช่วยวางพื้นฐานให้เรามั่นคง และเป็นแสงนำทางเพื่อเราจะก้าวไปข้างหน้าได้ ทีนี้ ให้เรามาสรุปเหตุผลบางประการถึงสาเหตุที่พระเจ้าดูเหมือนอยู่ห่างไกล
เหตุผลที่ 1: ดูเหมือนพระเจ้าซ่อนตัว แต่เราต่างหากที่ซ่อนตัว ไม่ใช่พระองค์
ความบาปปิดบังการรับรู้ถึงพระเจ้าของเรา แม้แต่คริสเตียนก็สามารถเจอกับการไม่ปรากฏตัวของพระเจ้าเพราะมัน บางครั้งพระเจ้าให้เราอยู่ในความบาประยะเวลาหนึ่ง เพื่อช่วยให้เราตระหนักว่าการพยายามหาความสุขอื่นๆ มาแทนที่พระองค์ ก็เหมือนพยายามเติมเต็มความหิวโหยด้วยเม็ดทราย
ถ้าพระเจ้าดูเหมือนหายไปเพราะว่าเราซ่อนตัวจากพระองค์ พระองค์ก็ยังคงรักเรา พระเจ้าไม่ได้ซ่อนตัวเพราะพระองค์ไม่ต้องการเรา พระองค์ทำเพื่อปกป้องเราจากการทรงสถิตอันบริสุทธิ์ของพระองค์ และไม่ต้องการแบ่งความศรัทธาในพระองค์ของเราให้กับพระอื่น
เหตุผลที่ 2: พระเจ้าซ่อนตัวเพื่อให้เราเป็นคนของสวรรค์ ไม่ใช่คนที่ชั่วร้าย
พระเจ้าไม่ตอบคำอธิษฐานทุกครั้งหรือให้ตามความปรารถนาของเราทันที ทำไมล่ะ เพราะพระเจ้ามุ่งมั่นที่จะให้ในสิ่งที่เราจำเป็น ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ เพื่อเตรียมเราให้พร้อมที่จะมีความสุขในการประทับอยู่ของพระองค์และให้เราสามารถทำงานที่เป็นอาชีพนิรันดร์ของเรา นั่นคืออารักขาสิ่งทรงสร้างทั้งหมดของพระเจ้าเหมือนผู้ดูแลและผู้ครอบครองสวนและโลกนี้ซึ่งเป็นของพระองค์
เมื่อฉันเลี้ยงดูลูกๆ ฉันมีความคิดว่าจุดสุดท้ายของงานนี้คือฉันกำลังเลี้ยงผู้ใหญ่ ไม่ใช่กำลังเลี้ยงเด็กเล็กๆ นั่นหมายความว่าฉันจะไม่ตื่นตระหนกทุกครั้งที่พวกเขาร้องไห้ ฉันจะมองดูห่างๆ ให้แน่ใจว่าพวกเขาโอเค ทำแบบนี้ก็เพื่อให้เขาเรียนรู้ที่จะปล่อยวางกับสิ่งเล็กๆ สามารถพึ่งพาตัวเองได้และยืดหยุ่น การซ่อนตัวของฉันมีจุดประสงค์
แล้วถ้าฉันจงใจซ่อนตัวหรือเว้นระยะห่าง โดยมีความรักเป็นแรงขับเคลื่อน แล้วพระเจ้าบนสวรรค์ ผู้รู้ทุกสิ่ง จะไม่เป็นยิ่งกว่านั้นหรอ
ช่วงเวลาที่มืดมิด คำอธิษฐานที่ยังไม่ได้คำตอบ หรือความเงียบจากสวรรค์ ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมตัวให้พร้อม เพื่อทำให้เราเป็นเหมือนพระเยซูมากขึ้น ผู้ซึ่งเป็นมนุษย์ที่มีขีดจำกัด แต่ยังสามารถสะท้อนความรัก ปัญญา ฤทธิ์เดช และความรู้ที่ไม่มีที่สิ้นสุดได้
เหตุผลที่ 3: พระเจ้าซ่อนตัวเพราะพระองค์ต้องการให้เราแสวงหา
แม้แต่ภูตผีปีศาจก็เชื่อว่าพระเจ้าดำรงอยู่ แต่มันกลับแข็งข้อต่อพระองค์
พระเจ้าไม่สนใจว่าจะต้องพิสูจน์การมีอยู่จริงของพระองค์กับคนที่ไม่สนใจ แต่พระองค์อยากที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่มีความหมายและลงลึกกับคนที่ใส่ใจ
พระเจ้าอยากที่จะทำให้เราเป็นคนรักที่ดีขึ้นของพระองค์
ในเมื่อการตามหาอีกฝ่ายเป็นส่วนที่ยิ่งใหญ่ของความรัก พระเจ้าสร้างให้จักรวาลเป็นเหมือนเกมซ่อนหาในอวกาศ(สุภาษิต 25:2) และพระองค์สัญญาว่าคนที่แสวงหาพระองค์ด้วยสุดใจ ก็จะพบพระองค์(เยเรมีย์ 29:13) ในขณะเดียวกัน พระองค์ก็สร้างจิตวิญญาณเราให้หิวกระหายการทรงสถิตของพระองค์
แล้วเราจะตอบสนองยังไง ในช่วงเวลาที่มืดมิด อะไรคือทางออกข้างหน้า เอาล่ะ มันเกิดขึ้นเพื่อเปลี่ยนมุมมองของเราที่มีต่อการซ่อนตัวของพระเจ้า การที่พระองค์ไม่ปรากฏตัวไม่ได้หมายความว่าพระองค์ไม่ได้มีอยู่จริง หรือเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าพระองค์ไม่รักเรา พระองค์ตั้งใจซ่อนตัวก็เพราะรักเรา
พระองค์มุ่งมั่นที่จะช่วยให้เราโตขึ้น และคำเชื้อเชิญในพระคัมภีร์ก็ชัดเจนสำหรับทุกคนที่เชื่อในพระเจ้า จงเข้าใกล้พระเจ้า แล้วพระองค์จะเสด็จเข้ามาใกล้เรา(ยากอบ 4:8)
เหมือนที่กษัตริย์ดาวิดเขียนในสดุดี 22 ซึ่งเป็นพระคำตอนเดียวกับที่พระเยซูตรัสบนกางเขน ทางออกจากช่วงเวลาที่มืดมิดคือการพูดกับจิตวิญญาณของเรา ทบทวนปัญหาหรือเรื่องราวที่เรากำลังเผชิญอยู่ และเปลี่ยนความรู้สึกว่าพระเจ้าหายไปให้กลายเป็นความหิวกระหายการสถิตอยู่ของพระองค์
นี่คือพระสัญญาในพระคัมภีร์ – ผู้ที่แสวงหาพระเจ้าจะพบพระองค์ได้ในที่สุด ค่ำคืนที่มืดมิดจะกลายเป็นรุ่งอรุณในที่สุด และแสงแห่งนิรันดร์กาลจะสว่างไสวกว่าที่เราจะจินตนาการได้
YOU MAY ALSO LIKE
อดทนกับการเติบโตฝ่ายจิตวิญญาณที่ค่อยเป็นค่อยไป
WRITER: แคสซี่ วัตสัน ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: สุมิตรา ชามรามดาบานEDITOR: ณัฐรวี ยุ้งทอง “ฉันทำมันอีกแล้ว” บางทีคุณอาจย้ำกับตัวเองด้วยคำเหล่านั้นหลังจากหลงทำบาปเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก คุณกลับใจแล้ว แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล เมื่อเร็วๆ นี้...
ช้อปไม่หยุด…ฉุดไม่อยู่
WRITER: Mustard Seed Team EDITOR: Mustard Seed Team ซื้อไม่หยุด เครียดก็ซื้อ นอนไม่หลับก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาซื้อของ ใส่ของไว้ในตระกร้าจนเต็ม โปรลดราคามาตลอดทุกเดือนก็จัดหนักตลอด รอเวลาเก็บคูปอง ชอบของแก็ดเจ็ตล่าสุด พยายามหาของที่ดีที่สุด ของที่ฮิตที่สุด เราจะต้องมี...
สรรเสริญวันสะบาโตด้วยการวางทุกสิ่งลง
WRITER: จาเนล ไบเทนสไตน์ ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: สุมิตรา ชามรามดาบานEDITOR: Mustard Seed Team ในฤดูร้อนปี 2016 ครอบครัวของฉันขนข้าวของจากประเทศยูกันดาขึ้นเครื่องบินไปอเมริกาเป็นเวลาหกเดือน ระหว่างจัดกระเป๋าสำหรับวันหยุดยาวนี้ ฉันมีความรู้สึกขัดแย้งบางอย่าง...