fbpx
WRITER: เดโบราห์ ลี ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI
TRANSLATOR: ปาลีญา ธนาวัฒนเจริญ & เฮจี คิม
EDITOR: Mustard Seed Team

เมื่อไม่นานมานี้มีเพื่อนร่วมงานคนใหม่เข้ามาหาฉัน เพื่อขอความคิดเห็นสำหรับแบบประเมินราคาเพราะว่าผู้ประเมินที่เคยสอนเธอนั้นไม่ว่าง ดูเหมือนว่าเธอไม่ได้ตั้งใจจะขอความเห็นจากฉัน ฉันเลยรู้สึกว่าฉันเป็นคนสุดท้ายที่เธอจะนึกถึง

ทำให้ความรู้สึกด้อยกว่าผู้อื่นของฉันเพิ่มมากขึ้น ที่ไม่ได้ถูกเลือกให้เป็นคนคอยอบรมพนักงานใหม่ และต้องรับภาระงานเพิ่มขึ้นเพื่อสนับสนุนฝ่ายอื่นตลอดระยะเวลาการฝึกอบรม ซึ่งการที่ฉันทำงานอยู่เบื้องหลังเงียบๆ ทำให้ฉันรู้ว่าหลายคนมองว่าฉันมีความสามารถน้อยกว่า และมันทำให้ฉันรู้สึกผิดหวังกับตัวเอง

เย็นวันนั้นที่บ้านของฉัน ขณะที่ฉันสงบใจต่อหน้าพระเจ้าฉันนึกถึงพระธรรม 1 โครินธ์ 12:15-18 ที่พูดถึงส่วนต่างๆ ของร่างกายมีความสำคัญอย่างไร พระคำตอนนี้แสดงให้เห็นว่าพระเจ้าให้ของประทานฝ่ายวิญญาณที่แตกต่างกันสำหรับสมาชิกในคริสตจักร ซึ่งเปรียบเสมือนกายของพระคริสต์ เพื่อให้หน้าที่ที่แตกต่างกันสามารถทำงานร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวได้

แต่ฉันพบว่ามันตรงกับสถานการณ์ของฉันในที่ทำงานเช่นกัน ซึ่งฉันพยายามอย่างมากเพื่อจะได้เห็นผลลัพธ์ของบทบาทหน้าที่การงานที่ฉันทำ และเมื่อฉันอ่านพระคำตอนนี้ พระเจ้าได้ย้ำเตือนฉันอีกครั้งว่างานที่ฉันทำเบื้องหลังในแต่ละวันนั้นสำคัญ  พระองค์เห็นสิ่งที่ฉันทำและคาดหวังให้ฉันสัตย์ซื่อต่อการกระทำเช่นกัน (ฮีบรู 4:13) เพราะว่าในสายตาของพระองค์ ไม่มีงานใดที่เล็กน้อยหรือไม่สำคัญ

การเข้าเฝ้าพระเจ้าในครั้งนี้เป็นเหมือนการเชิญให้เข้ามาพักสงบในพระเจ้า ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงรากฐานตัวตนของฉัน และผ่านทางสิ่งนั้น ทำให้ฉันระลึกถึงความมั่นคงและสันติสุขในการเดินกับพระเจ้า เมื่อฉันกลับใจและยอมจำนนต่อพระเจ้า มันทำให้ฉันสบายใจที่ได้รู้ว่าฉันเป็นของพระองค์และทุกสิ่งทุกอย่างกำลังดำเนินไปตามแผนการที่ดีและสมบูรณ์แบบของพระองค์ (โรม 8:28)

ด้วยความคิดเหล่านี้ ฉันตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะยึดมั่นในพระเจ้าเพื่อที่จะไม่หวั่นไหว เพราะหนึ่งในเป้าหมายปีใหม่นี้ของฉันคือการที่ลงลึกในพระคัมภีร์ และเก็บรักษาพระดำรัสของพระองค์ไว้ในใจ (สดุดี 119:11)

ฉันตระหนักได้ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เข้าหาพระเจ้าและวางความรู้สึกต่างๆ ของเราลง เราต้องให้พระคำของพระองค์ทำงานในจิตใจของเราและยอมให้ความจริงของพระองค์ชำระเราใหม่

ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ฉันเริ่มทำงานที่บ้าน ฉันพบว่ามันยากที่จะทำกิจวัตรตอนเช้าอย่างสม่ำเสมอ แต่ฉันตัดสินใจที่จะทำอย่างสม่ำเสมอด้วยการตื่นแต่เช้า ชงกาแฟ หลังจากนั้นเฝ้าเดี่ยวก่อนที่จะเริ่มต้นวันใหม่

ก่อนที่ฉันจะเริ่มต้นอ่านพระคัมภีร์ ฉันจะอธิษฐานก่อนสั้นๆ และขอพระองค์ช่วยให้ฉันจดจ่อและเปิดตาใจฉัน (สดุดี 119:18, เอเฟซัส 1:18) เพื่อฉันจะได้เห็นความงดงามของพระคำพระองค์ เมื่อพระคำบางข้อแตะใจฉัน ฉันจะหยุดเพื่อใช้เวลาใคร่ครวญและไตร่ตรอง ซึ่งฉันจะพกสมุดบันทึกและปากกาไว้กับตัวด้วยเพื่อที่ฉันสามารถบันทึกสิ่งที่ใคร่ครวญออกมาเพื่อช่วยให้ฉันระลึกถึงความสัตย์ซื่อของพระเจ้า

ด้วยการใคร่ครวญพระคำพระเจ้า การที่นำบริบทของพระคำมาเชื่อมโยงกับสถานการณ์ที่ฉันเผชิญอยู่ว่ามีความเกี่ยวข้องกันอย่างไรนั้น ฉันพบว่ามันเป็นการช่วยให้ฉันจดจำข้อพระคำได้เช่นกัน

มันมีประโยชน์มาก ข้อพระคำที่ฉันจดจำไว้จะเข้ามาในจิตใจในเวลาที่ฉันเผชิญสถานการณ์ที่ยากลำบาก หรือเมื่อฉันเริ่มรู้สึกเหนื่อยล้าระหว่างวันและความคิดลบค่อยๆ โผล่มา

ฉันนึกถึงตอนที่หัวหน้าของแผนกอื่นพาพนักงานใหม่มาแนะนำในทีมของพวกเรา และแนะนำพวกเราตามตำแหน่งหน้าที่ เน้นว่าใครมีตำแหน่งอะไรบ้าง ฉันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกด้อยค่าเพราะไม่ได้อยู่ในตำแหน่งสูงๆ ทั้งที่มีอายุมากกว่าและอยู่มานานกว่าพนักงานบางคน ฉันรู้สึกละอายใจจนฉันอยากจะหนีออกไป

แต่เมื่อฉันยอมวางความรู้สึกของฉันไว้กับพระเจ้า ฉันนึกได้ว่าพระเจ้าทรงสัตย์ซื่อที่จะยกชูฉันผ่านความเจ็บปวดและความแตกสลายอย่างไร พระองค์ช่วยให้ฉันเติบโตและผ่านพ้นกับความผิดหวังหรือความล้มเหลวในการทำงานแต่ละครั้งได้อย่างไร และแทนที่ฉันจะตอบสนองด้วยความไม่พอใจ ฉันสามารถที่จะยิ้มขึ้นได้ในขณะที่ถูกแนะนำตัวต่อหน้าผู้คน

การเรียนรู้และจดจำพระคำไว้ในใจเปรียบเสมือนกับการสวมยุทธภัณฑ์ของพระเจ้า (เอเฟซัส 6:17) ดังนั้นเราจึงสามารถต่อสู้กับสงครามในแต่ละวันได้ ไม่ว่าจะเป็นการท้าทายทางด้านร่างกายหรือการต่อสู้ทางด้านอารมณ์และจิตใจ แม้ว่าการต่อสู้กับความคิดและความรู้สึกด้อยค่าจะเป็นกระบวนการที่ค่อยเป็นค่อยไป แต่ฉันก็กำลังเรียนรู้ผ่านการต่อสู้ในแต่ละครั้ง เมื่อเรามีความคิดที่ไม่ถูกต้อง (2 โครินธ์ 10:5) และได้ชำระความคิดใหม่ด้วยพระคำพระเจ้า (โรม 12:2) พระองค์จะช่วยเราให้ตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เราเผชิญอยู่ด้วยความรัก (โคโลสี 3:14)

เพลง “ You Say” ของ  Lauren Daigle มีเนื้อร้องว่า เราสามารถขอพระเจ้าให้ย้ำเตือนเราครั้งแล้วครั้งเล่าถึงตัวตนของเราในฐานะบุตรอันมีค่าของพระองค์ เราสามารถรับรู้ได้ว่าพระองค์บอกว่าเราเป็นใคร แม้ว่าเราจะไม่สมบูรณ์แบบ

สิ่งเหล่านี้เป็นความจริง ในพระธรรม 2 โครินธ์ 12:9 กล่าวไว้ว่า เราสามารถเรียนรู้ที่จะพบความยินดีในจุดอ่อนของเรา เพราะสิ่งเหล่านี้ผลักดันให้เราเข้าใกล้พระองค์มากขึ้นและยึดมั่นในความจริงจากการให้ทั้งชีวิตของพระองค์เอง ฉันได้พบสิ่งที่ไม่ถูกต้องในแต่ละวันด้วยความจริงจากพระคำที่คอยสอนและช่วยนำทางชีวิตของฉันอย่างไร หนุนใจและมอบความหวังใจให้กับพวกเราได้อย่างไร (โรม 15:4, 2 ทิโมธี 3:16)

YOU MAY ALSO LIKE

จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าฉันไม่อยากอ่านพระคัมภีร์หรืออธิษฐาน

จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าฉันไม่อยากอ่านพระคัมภีร์หรืออธิษฐาน

WRITER: ฉีฉี ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: นิศารัตน์ มั่นเกตุEDITOR: กรชวัล เพชรเลิศอนันต์ มันเป็นอีกหนึ่งวันที่ยาวนาน ในระหว่างที่ดูแลพวกลูกๆ  สะสางงานต่างๆ  ก็แทบจะไม่มีเวลาให้ได้พักหายใจเลย เมื่อลูกๆ...

ฉันมีส่วนรับผิดชอบในความรอดของเพื่อนหรือไม่?

ฉันมีส่วนรับผิดชอบในความรอดของเพื่อนหรือไม่?

WRITER: เมดาลีน คาลู ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: PinkEDITOR: Thitikarn Nithiuthai (Mesy) ฉันยังจำช่วงเวลาที่ฉันเริ่มต้นความสัมพันธ์กับพระเยซูได้ ราวกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ทุกอย่างเริ่มต้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ในช่วงที่อากาศหนาวเย็นของเดือนมกราคม ฮันนาห์...

เสียงที่ดังพอ

เสียงที่ดังพอ

WRITER: GRACESaoriEDITOR: Mustard Seed Team เคยไหม? ที่ในบางครั้งเสียงของใครบางคนก็ดังกว่าเสียงของตัวเอง เสียงนี้มักดังเร้าอยู่ภายในใจ บ่อยครั้งในเมื่อเราอยู่ในช่วงที่คิดไม่ตก ฟุ้งซ่าน หาทางออกไม่เจอหลายๆ สิ่ง แต่จะมีเสียงๆ นี้แหละ ที่กลับดังขึ้นมาหัวใจ...

Share This