WRITER: จัสมิน ออง ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI
TRANSLATOR: ชนิสรา แก้วกระจาย
EDITOR: Mustard Seed Team
เมื่อภาพยนตร์ เครซี่ ริช เอเชี่ยนส์ เหลี่ยมโบตั๋น (Crazy Rich Asians) ได้ออกฉาย หลายคนต่างชื่นชมภาพยนตร์ฮอลลีวูดเรื่องนี้มาก ที่มีนักแสดงนำเชื้อสายเอเชียหลายคนและเป็นการแสดงวัฒนธรรมของชาวเอเชีย สำหรับฉัน ความโดดเด่นของหนังเรื่องนี้ที่นอกเหนือจากความรวยแบบบ้าคลั่งแล้ว นักแสดงแต่ละคนล้วนหน้าตาดีสุดๆ ไปเลย ซึ่งเป็นความเชื่อที่ว่าการที่มีรูปร่างหน้าตาที่ดีนั้นจะส่งผลให้ประสบความสำเร็จในชีวิต
ในปี 1994 มีบทความเกี่ยวกับ “Beauty and the Labor Market” เขียนโดย แดเนียล ฮาเมอร์เมช และเจฟ บิทเดิล ผลการวิจัยพบว่าพนักงานที่นายจ้างมองว่ามีเสน่ห์ทางร่างกายได้รับผลตอบแทนมากกว่าเพื่อนร่วมงาน 10-15% นอกเหนือจากการจ้างงานแล้ว อีกผลงานวิจัยของแอลัน เฟยโกลด์ ซึ่งมีชื่อว่า “Good-Looking People Are Not What We Think” พบว่าคนที่ดูดีกว่าจะมีความสัมพันธ์ที่ดี มีเพื่อนที่มากขึ้นและเป็นคนที่ได้รับความนิยมจากเพศตรงข้ามมากกว่า จากการศึกษาในปี 2016 ที่มีผู้เข้าร่วมในประเทศอังกฤษกว่า 120,000 คน พบว่าผู้ชายที่เตี้ยกว่าและผู้หญิงที่มีน้ำหนักมากกว่า (ลักษณะส่วนใหญ่นั้นเนื่องมาจากพันธุกรรม) มีแนวโน้มได้รับรายได้น้อยกว่า ผู้ชายที่มีรูปร่างสูงและผู้หญิงที่มีรูปร่างผอมบางกว่า
ฉันไม่จำเป็นต้องให้ผลการศึกษาเหล่านี้บอกฉันว่า ฉันสามารถสังเกตเห็นอะไรเกิดขึ้นบ้างในชีวิตประจำวันของฉัน แต่งานวิจัยเหล่านั้นก็เป็นการตอกย้ำความคิดของฉัน คนที่หน้าตาดีมักจะได้อะไรมาง่ายกว่า
ทุกคนต่างต้องการเป็นเพื่อนกับคนที่หน้าตาดี พวกเขาสามารถมีความมั่นใจและใช้ชีวิตได้อย่างสบายๆ พวกเขามักจะติดแฮชแท็กได้รับการอวยพรผ่านโพสต์อินสตาแกรมอยู่เสมอ ฉันไม่ได้พูดถึงดารานักร้องหรืออินฟลูเอนเซอร์ คนเหล่านี้เป็นคนปกติ เพื่อนร่วมชั้น เพื่อนที่ไปโบสถ์ เพื่อนบ้าน ที่ดูเหมือนจะได้รับสิทธิพิเศษที่ต้องขอบคุณพันธุกรรมของพวกเขา
ฉันยังได้เห็นวิธีที่ผู้คนถูกกีดกันออกจากโอกาสการทำงานและจากสังคม เพียงเพราะรูปลักษณ์ภายนอกของพวกเขา ฉันจำได้ว่าเพื่อนร่วมชั้นสองคนเสียใจอย่างหนักในการพยายามหางานในประเทศบ้านเกิดของพวกเขา แม้จะมีประวัติการศึกษาที่ดีและมีความคล่องแคล่วหลายภาษา แต่พวกเขาไม่ประสบความสำเร็จในการเข้าทำงานเพียงเพราะน้ำหนักตัวของพวกเขา การถูกปฏิเสธของพวกเขานั้นแสนเจ็บปวด พวกเขาต้องยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นไปตลอดชีวิต ยังมีเพื่อนอีกคนหนึ่งถูกญาติของเธอตำหนิว่า ที่เธอเป็นโสดนั้นก็เพราะเธอไม่ยอมควบคุมอาหารและลดน้ำหนัก
การต่อสู้ของฉันกับร่างกายของฉันเอง
ในกรณีของฉัน มันเกิดขึ้นตอนที่ฉันยังเป็นวัยรุ่น ในช่วงอายุ 20 ต้นๆ ฉันมีแต่ความรู้สึกไม่มั่นใจเกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาของตัวเอง ฉันมีหูที่ใหญ่ซึ่งเห็นได้ชัด มันทำให้ฉันถูกเยาะเย้ยและกลายเป็นเหยื่อของการถูกล้อจนเป็น “เรื่องสนุก” แต่กลับบาดลึกในใจฉัน ถ้าเปรียบเทียบกับผู้หญิงเอเชียส่วนมากฉันค่อนข้างตัวใหญ่ ความจริงนี้ชี้ให้ฉันเห็นชัดจากเพื่อนร่วมห้อง ญาติพี่น้อง และแม้กระทั่งคนแปลกหน้า
คุณค่าในชีวิตของฉันกลับถูกลดคุณค่าด้วยคำวิจารณ์ที่เกิดขึ้น ฉันมักใช้เวลาหลายชั่วโมงส่องกระจกดูรูปร่างของตัวเองที่มีลักษณะเหมือนแอปเปิ้ล ทำให้ฉันนึกถึงคำวิจารณ์ต่างๆ นานา เกี่ยว กับหน้าตาและรูปร่างของฉัน ฉันขอร้องให้พ่ออนุญาตฉันไปทำศัลยกรรมใบหูและเสริมจมูกให้โด่งมากขึ้น เพราะว่าจะทำให้ฉันมีความมั่นใจมากขึ้นและทำให้ฉันมีความสุขที่แท้จริง ซึ่งพ่อทำให้ฉันท้อแท้ใจมากด้วยการอธิบายว่าการผ่าตัดศัลยกรรมนั้นมีความเสี่ยง ตอนนั้นฉันรู้สึกว่ามันคือความเสี่ยงที่ฉันรับได้ โดยเฉพาะถ้าหากมันจะช่วยให้ฉันหยุดเกลียดตัวเอง
เมื่อฉันไม่ได้ทำศัลยกรรม ฉันก็กลับมาหมกหมุ่นกับการลดน้ำหนัก ฉันสาบานซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าจะกินให้น้อยลง แต่ฉันก็ตกอยู่ในวงโคจรของความล้มเหลวและความเกลียดชังตนเอง เอาชนะด้วยความพยายามที่ล้มเหลวของฉันเอง ฉันคิดว่า จะมีความหวังสำหรับคนอย่างฉันได้จริงหรือ ฉันไม่มีทั้งความร่ำรวยและไม่มีความสวยที่โดดเด่นที่จะช่วยให้ฉันมีความสุขได้จริงๆ?
ความงดงามในสายพระเนตรพระเจ้า
พระเจ้าทรงมาทันเวลา เพราะคัมภีร์ช่วยให้ฉันเลิกคิดถึงเทพนิยายที่คอยหลอกฉัน ด้วยการท้าทายความเชื่อที่ผิดๆ ให้กับฉัน มีพระคัมภีร์ตอนหนึ่งได้ตรัสสอนฉันในสิ่งที่พระเจ้าตรัสกับซามูเอลเมื่อเขาต้องไปเจิมกษัตริย์องค์ต่อไปของอิสราเอล “อย่ามองดูที่รูปร่างภายนอกหรือที่ความสูงแห่งร่างกายของเขา เพราะเราไม่ยอมรับเขา เพราะพระยาห์เวห์ไม่ได้ทอดพระเนตรเหมือนที่มนุษย์ดู เพราะมนุษย์ดูที่รูปร่างภายนอก แต่พระยาห์เวห์ทอดพระเนตรจิตใจ” (1 ซามูเอล 16:7) ฉันรู้สึกทึ่งกับพระเจ้าผู้ทรงสร้างมนุษย์ทุกคนที่กำลังยืนยันว่ารูปลักษณ์ภายนอกนั้นไม่สำคัญ พระคำข้อนี้เปิดตาของฉันให้ได้เห็นว่า มาตรฐานของพระเจ้ากับมนุษย์นั้นแตกต่างกัน พระองค์ทรงแต่งตั้งผู้คนที่มีเอกลักษณ์พิเศษในอาณาจักรของพระองค์ โดยไม่คำนึงว่าพวกเขาจะมีหน้าตาอย่างไร ฉันตระหนักว่ามันเกี่ยวข้องกับสังคมที่เราอยู่ที่สร้างอุดมคติและอคติด้านความงดงามเหล่านี้ ไม่ใช่พระเจ้า
ในที่สุด ฉันก็ได้เรียนรู้ว่าความทุกข์ยากเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับมนุษย์ และทั้งความร่ำรวยหรือหน้าตาที่ดีก็ไม่สามารถรับประกันว่าชีวิตของเราจะไม่ต้องเจอกับความยากลำบาก เพียงแค่เลื่อนดูข่าวในปัจจุบันก็เพียงพอที่จะแสดงให้ฉันเห็นว่าภัยธรรมชาติ สงคราม และโรคร้ายต่างๆ ทำลายชีวิตโดยไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเราเป็นใครหรือมีสถานะเป็นอะไร ในสารคดีที่เพิ่งเปิดตัวไป “Framing Britney” และการเคลื่อนไหวของ #FreeBritney ได้ทำให้ฉันเห็นว่าแม้แต่ดาราดังก็ไม่สามารถปกป้องตัวเองจากการต่อสู้ด้านสุขภาพจิตและข่าวฉาวได้เลย เรื่องของเมแกน มาร์เคิล นักแสดงสาวที่กลายมาเป็นเจ้าหญิง ก็ไม่ได้รับการยกเว้นจากการโจมตีและการถูกแยกออกจากสังคม ดังที่ได้กล่าวไว้ในบทสัมภาษณ์กับโอปราห์
เรื่องทั้งหมดนี้ ทำให้ฉันยอมรับว่าการผ่าตัดศัลยกรรมเปลี่ยนใบหน้าหรือร่างกายก็ไม่สามารถเปลี่ยนวิถีชีวิตของฉันได้ ในทางกลับกัน ชีวิตของฉันเปลี่ยนไปอย่างมากเมื่อฉันเลือกที่จะยอมรับให้พระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของฉัน
จากจุดนั้น ทำให้ฉันไม่ต้องเผชิญกับความทุกข์เพียงลำพังอีกต่อไป เพราะฉันได้รับผู้ปลอบโยนและเพื่อนที่มองเห็นความไม่มั่นคงและแบ่งปันความเจ็บปวดของฉัน
พระเยซู ได้รับการขนานนามว่าเป็นผู้ที่มีรูปร่างธรรมดาเหมือนมนุษย์ (อิสยาห์ 53:2) และต่อมาพระองค์เป็นผู้เปลือยกายที่เต็มไปด้วยเลือดและร่างกายที่ถูกฉีกออกบนไม้กางเขน ซึ่งห่างไกลจากความหมายของคำว่าความงามทางกายภาพ ซึ่งได้ให้ความหวังและความรักแก่เรา พระองค์ทรงเป็นผู้ที่ตรัสกับเราว่า “เราบอกเรื่องนี้กับพวกท่าน เพื่อท่านจะได้มีสันติสุขในเรา ในโลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก แต่จงมีใจกล้าเถิด เพราะว่าเราชนะโลกแล้ว” (ยอห์น 16:33)
แม้ในขณะที่ฉันกำลังคร่ำครวญถึงการไม่มีร่างกายในอุดมคติ และภายในใจรู้สึกเสียใจและโกรธมากที่เราต้องดำเนินชีวิตตามอุดมคติเหล่านี้ ฉันปลอบตัวเองด้วยพระธรรมสดุดีบทที่ 23 โดยที่ฉันรู้ว่าพระเจ้าเป็นผู้เลี้ยงของฉัน และฉันไม่ขาดสิ่งใดเลย แม้ว่าฉันจะไม่ได้เป็นไปตามมาตรฐานความงามของสังคม หรือแม้จะต้องเผชิญกับการเลือกปฏิบัติและการถูกปฏิเสธไม่ว่าในรูปแบบใดก็ตาม ฉันก็รู้ว่าพระเจ้าทรงนำทางฉันผ่านทุกช่วงเวลาและพระองค์ทรงห่วงใยฉันอย่างสุดซึ้ง
การเอาตัวรอดจากโรคระบาดทำให้ฉันมีทัศนคติให้กับสิ่งสำคัญชัดเจนมากขึ้น ทุกวันนี้ ฉันรู้สึกมีความสุขมากที่สุดเมื่อฉันเลิกงาน และรู้ว่าฉันได้ทำหน้าที่ให้บริการผู้ป่วย และเป็นเพื่อนที่ดีกับเพื่อนร่วมงานอย่างสุดความสามารถ เรื่องนี้ทำให้ฉันค้นพบสันติสุขที่ลึกซึ้งจากบททดสอบมิตรภาพในเรื่องของเวลาและระยะทาง สิ่งเหล่านี้เตือนฉันว่าโดยแท้จริงแล้ว “พระยาห์เวห์ทรงดีต่อทุกคน และพระกรุณาของพระองค์อยู่เหนือพระราชกิจทั้งสิ้นของพระองค์” (สดุดี 145:9)
YOU MAY ALSO LIKE
การต่อสู้กับการกลัวตกเทรนด์ (FOMO)
WRITER: มิเชล ไล ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: อรุณพร ทักษิณทวีทรัพย์EDITOR: Mustard Seed Team ฉันได้ยินคำย่อนี้ครั้งแรกในโบสถ์ของฉันเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา นักศึกษามหาวิทยาลัยคนหนึ่งเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับความยากลำบากในการจัดการเวลาหลังจากเข้ามหาวิทยาลัย...
ภายใต้หน้ากากรอยยิ้ม ฉันเคยฆ่าตัวตาย
WRITER: จานีน ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: เฮจี คิมEDITOR: Mustard Seed Team การฆ่าตัวตาย เรามักจะหลีกเลี่ยงคำนี้ให้พ้นจากสายตา เพราะดูน่ากลัว ต้องเผชิญหน้า และเป็นจริงเกินไป เราอ่านเจอได้ในหนังสือพิมพ์และดูข่าว แต่ส่วนใหญ่แล้วมันไม่ได้กระทบใจเราเป็นการส่วนตัว...
ทำไมการถ่อมใจ จึงไม่เหมือนกับการลดคุณค่าในตัวเอง
WRITER: จาเนล ไบร์ทเท็นสไตน์ ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: Mustard Seed TeamEDITOR: Mustard Seed Team เพื่อนของฉันจ้องมองมาที่ฉันผ่านเฟสไทม์พร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอ “ฉันแค่อยากให้เธอรู้ว่าฉันนับคำว่า 'โง่' ได้ถึงหกครั้งเมื่อเธอพูดถึงตัวเอง” เธอยิ้ม...