WRITER: มาริสา ลุก ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI
TRANSLATOR: ปาลีญา ธนาวัฒนเจริญ
EDITOR: นามระพี พีระมาน
เป็นเวลามากกว่าหนึ่งปีแล้วที่ฉันกับสามีได้ย้ายที่อยู่จากประเทศฮ่องกงไปยังประเทศไต้หวัน เพื่อเข้าร่วมพันธกิจกับ คริสตจักรท้องถิ่น ณ ที่นั้น เนื่องจากคริสตจักรที่บ้านของฉันในประเทศเม็กซิโกได้ส่งฉันมาทำพันธกิจในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเป็นระยะเวลามากกว่า 5 ปี ตลอดเวลาที่ผ่านมาฉันใช้ชีวิตด้วยความเชื่อว่า “นี่เป็นภาระกิจที่ฉันจะต้องทำให้เกิดผลในพันธกิจที่พระเจ้าได้ทรงนำฉันไป” และด้วยพระคุณของพระเจ้า ฉันจึงได้รับการทรงนำและได้รับโอกาสให้ทำพันธกิจที่เหลือเชื่อ และเพราะเหตุนี้เอง ฉันจึงเติบโตในฝ่ายวิญญาณมากยิ่งขึ้นจากการร่วมรับใช้กับพันธกิจเหล่านี้
อย่างไรก็ตามในปีที่ผ่านมา ฉันไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองยุ่งวุ่นวายกับภาระงานต่างๆ มากจนเกินไปหรือไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองทำงานได้อย่างมีประสิทธิผลเหมือนอย่างที่เคยทำในที่ต่างๆ ที่เคยไปมา ซึ่งก่อนที่ฉันจะย้ายมาประเทศไต้หวัน ฉันได้ร่วมรับใช้ในงานฝ่ายบริหารและฝ่ายสื่อกับองค์กรที่ทำงานในเขตพื้นที่สีแดง แม้ว่าตอนนี้ชีวิตของฉันจะดูเบาลงบ้าง แต่ฉันก็ยังใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเรียนออนไลน์หรือการอ่านหนังสือที่บ้าน ดังนั้นจึงพูดได้ว่า ในช่วงปีสุดท้ายนี้เป็นช่วงเวลาที่เงียบสงบสำหรับฉัน ในช่วงเวลาหยุดงานที่เพิ่มขึ้นนี้ ทำให้ฉันได้มีโอกาสทบทวนเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา เมื่อฉันได้นั้งทบทวนดูแล้วจึงพบว่า ฉันรู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับหลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่างมาสักพักหนึ่งแล้ว
ไม่ว่าจะเป็น อันที่จริงแล้วมีหลายประสบการณ์และหลายความรู้สึกที่ฉันควรจะทบทวนในช่วงเวลาที่ฉันทำพันธกิจแต่ฉันก็ไม่ได้ทำ
ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นภายในคริสตจักร (และความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์เหล่านี้จึงทำให้ฉันไม่ได้รู้สึกว่าคริสตจักรเป็นบ้านอีกต่อไป) การขาดการหนุนใจในความสัมพันธ์ก่อนและหลังแต่งงานของฉันกับสามีจากคนรอบข้าง (ส่วนมากเกิดจากวัฒนธรรมที่แตกต่าง) และการรู้สึกโดดเดี่ยวอย่างมาก ซึ่งประสบการณ์แย่ๆ เหล่านี้ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกเหนื่อยล้ามากไปกว่าเดิม
ปัญหาเหล่านี้ยังคงมีผลกระทบอย่างมากในความคิดและหัวใจของฉัน แต่ในเวลาต่อมาเพื่อนรักที่ฉันไว้วางใจและมักจะขอคำแนะนำฝ่ายจิตวิญญาณได้บอกฉันอยู่อย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องที่ฉันคิดไม่ถึงมาก่อนคือ การถามกับพระเจ้าอย่างตรงไปตรงมาว่า “พระองค์ต้องการสอนฉันหรือตัดแต่งกิ่งชีวิตของฉันในฤดูกาลนี้หรือไม่”
เมื่อฉันได้ยินประโยคคำถามนี้จากเธอ ฉันจึงคิดว่า “บางที นี่อาจจะเป็นฤดูแห่งการเงียบสงบและรอคอย เพราะพระเจ้าอยากที่จะตัดแต่งกิ่งในชีวิตของฉันและขจัดกิ่งที่ไม่แข็งแรงซึ่งคอยขัดขวางการเติบโตให้ออกไปจากชีวิตของฉัน”
ในพจนานุกรมได้ให้คำอธิบายเกี่ยวกับ การตัดแต่งกิ่งว่า “เป็นการตัดออกเพื่อให้มีรูปทรงที่สวยงามยิ่งขึ้นหรือเพื่อการเติบโตที่เกิดผลมากยิ่งขึ้น” โดยปกติแล้วในการทำสวนดอกไม้ ผลไม้ หรือผัก การตัดแต่งกิ่งนั้นคือ การขจัดบางส่วนของต้นไม้ที่ตายหรือถูกทำลายโดยโรค แมลง (หรือศัตรูพืช) หรือการขาดแสงแดด ซึ่งกระบวนการนี้เป็นการพัฒนาความแข็งแรงของต้นไม้และยังทำให้ต้นไม้ได้เติบโตและเกิดผลมากขึ้น
ซึ่งเปรียบเสมือนกับชีวิตของคริสเตียน พระเจ้าทรงใช้กระบวนการตัดแต่งกิ่งเพื่อจะรักษาและฟื้นฟูส่วนต่างๆ ภายในเราที่ถูกทำลายหรือกำลังจะตาย (ยอห์น 15:2) และนี่คือสิ่งที่ฉันต้องการ
เมื่อฉันได้คิดทบทวนเกี่ยวกับเรื่องใดที่พระเจ้าอยากจะตัดแต่งกิ่งในชีวิตของฉัน และนี่คือ 3 ข้อ ที่เข้ามาในความคิดของฉัน
1. การขาดความเชื่อที่เกิดจากบาดแผลในอดีต
ฉันกลายเป็นคนที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและสิ่งนี้ทำให้ฉันมองไม่เห็นความดีของพระเจ้าและความสัตย์ซื่อของพระองค์ที่มีให้กับฉันมาโดยตลอด หลายครั้งที่ฉันรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องง่ายที่จะจมอยู่กับความโกรธ อยู่กับคนที่ไม่ยุติธรรมหรือสถานการณ์ที่เราเผชิญ อยู่กับการยึดติดความขมขื่นและการไม่ให้อภัยซึ่งมันทำให้ฉันรู้สึกแทบจะหมดหนทางและสิ้นหวัง (สดุดี 73:22-23) ฉันได้พบว่ายิ่งฉันพยายามด้วยตัวฉันเองที่จะอภัยกับคนอื่น ฉันยิ่งไม่สามารถที่จะก้าวข้ามผ่านความสับสนหรือความเจ็บปวดที่เกิดจากประสบการณ์เหล่านั้นได้เลย
2. ความต้องการที่จะพิสูจน์ตัวเองและเอาใจคนรอบข้าง
ฉันเรียนรู้ที่จะไม่ทำเพื่อทุกสิ่งเพื่ออยากจะเอาใจคนรอบข้าง แต่เลือกที่จะดำเนินชีวิตให้เป็นที่พอพระทัยของพระเยซูคริสต์เท่านั้น วิธีที่สำคัญวิธีหนึ่งที่ฉันเรียนรู้ก็คือ การใช้เวลาส่วนตัวในการเดินกับพระเจ้าให้มากยิ่งขึ้น และทำความรู้จักกับพระองค์ให้มากยิ่งขึ้น แทนที่เอาเวลาไปพิสูจน์ตัวเองกับผู้นำในคริสตจักรหรือพันธกิจเพื่อเป็นการชดเชยควาามจริงที่ฉันไม่ได้เรียนจบมหาวิทยาลัย
3. แนวโน้มที่จะเห็นช่วงเวลาเงียบสงบเป็นสิ่งหนึ่งที่ฉันต้องทำ
พระเจ้าทรงนำให้ฉันติดสนิทและพักพิงในพระองค์มากยิ่งขึ้น พึ่งพาพระองค์มากยิ่งขึ้น โดยการอ่านพระคัมภีร์และอธิษฐานมากขึ้น เพราะว่าก่อนหน้านี้เป็นเวลานานมากแล้วที่ฉันจะอ่านพระคัมภีร์เร็วๆ ในตอนเช้าเพื่อที่จะแค่ทำตามรายการสิ่งที่จะต้องทำประจำวันของฉัน เป็นเวลาสองปีแล้วหลังจากที่ฉันกับสามีได้แต่งงานกันและเริ่มที่จะนั่งลงด้วยกันโดยไม่มีสิ่งรบกวน (เช่น มือถือ Netflix หรือสิ่งอื่นๆ) เพื่อที่จะอ่านพระคัมภีร์และแบ่งปันพระวจนะซึ่งกันและกัน
กิจกรรมประจำวันระหว่างฉันกับสามีสอนให้ฉันฟังและคิดใคร่ครวญในพระวจนะของพระเจ้าในวิธีที่ฉันไม่เคยได้ทำมาเป็นเวลานาน และเป็นสิ่งที่ฉันได้เรียนรู้ที่จะฝึกฝนตัวเองต่อไปในแต่ละวัน ฉันได้สังเกตว่าสิ่งนี้ทำให้หัวใจของฉันมีความสงบมากขึ้นเมื่อฉันเรียนรู้ที่จะยอมมอบความเจ็บปวดของฉันให้กับพระเจ้า (ฟิลิปปี 4:6-7)
เมื่อฉันใคร่ครวญถึงปัญหาเหล่านี้ ความต้องการที่จะได้รับการรักษาและเสริมสร้างความเชื่อ เพื่อที่ฉันจะเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าและติดสนิทกับพระองค์ ทำให้ฉันนึกถึงพระธรรมฮีบรู 12:1-3
ดังนั้น เมื่อเรามีพยานมากมายล้อมรอบเราอยู่อย่างนี้แล้ว ขอให้เราละทิ้งทุกอย่างที่ถ่วงเราไว้ และบาปที่เกาะติดเราแน่น และขอให้วิ่งแข่งด้วยความมานะอดทนไปตามทางที่อยู่ข้างหน้าเรา ขอให้เราจ้องอยู่ที่พระเยซู ซึ่งเป็นผู้นำความเชื่อของเราและเป็นผู้ที่ทำให้ความเชื่อของเราสมบูรณ์แบบ พระองค์ได้อดทนต่อการถูกตรึงบนไม้กางเขน เพื่อความยินดีที่รอพระองค์อยู่ พระองค์ไม่สนใจกับความอับอายที่ต้องตายบนไม้กางเขน และในตอนนี้พระองค์ได้นั่งอยู่ทางขวาของบัลลังก์ของพระเจ้า ขอให้ใคร่ครวญถึงพระองค์ผู้ที่ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสจากคนบาปที่ต่อต้านพระองค์ เพื่อพวกคุณจะได้ไม่ท้อใจหรือยอมแพ้
ถ้าต้นไม้มีการติดเชื้อ มีส่วนที่ตาย หรือถูกทำลาย มันจะไม่สามารถเติบโตได้อย่างเต็มที่และจำเป็นต้องถูกตัดแต่งกิ่ง รักษา และฟื้นฟู ในทางเดียวกันกระบวนการตัดแต่งกิ่ง (หรือ “การละทิ้งทุกอย่างที่ถ่วงเราไว้” ตามที่ผู้เขียนพระธรรมฮีบรูได้กล่าวไว้) ทำให้เราเติบโตและวิ่งไปถึงเส้นชัย
การรู้ว่าความยากลำบากในปัจจุบันจะทำให้เราเปลี่ยนแปลงและเติบโตขึ้น และการได้รู้ว่าพระเยซูเองได้รับชัยชนะผ่านการทดลองทำให้ฉันรู้สึกสบายใจที่จะเดินตามเส้นทางแห่งการฟื้นฟูนี้ มันหนุนใจให้ฉันที่จะไม่ยอมแพ้ต่อความเหน็ดเหนื่อย แต่สู้อดทนต่อไปในการรับใช้พระองค์ในพันธกิจ
เมื่อเราถามพระเจ้าและยอมให้พระองค์ตัดแต่งกิ่งเรา เราจะสามารถชื่นชมยินดีในความเจ็บปวดที่เราเผชิญอยู่ได้เพราะเรารู้ว่ามันจะทำให้เกิดผลดีแก่เรา (ฮีบรู 12:10-11)
YOU MAY ALSO LIKE
3 สัญญาณที่บอกว่าคุณหมดไฟในการรับใช้
WRITER: ซาราห์ โซ๊ะ ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI TRANSLATOR: นารดา ไทรงาม EDITOR: สวิตตา เจริญศรีศิลป์ 29 กันยายน 2010 เป็นวันที่ฉันตระหนักว่าตัวเองหมดไฟ ในฐานะคริสเตียนวัยรุ่น เป็นนักศึกษาปริญญาตรี ฉันคิดว่าตัวเองจะมีภูมิคุ้มกันจากการหมดไฟ ที่ผ่านมาฉันไม่ได้ทำทุกอย่าง...
ทำไมการรอคอยพระเจ้าถึงเป็นเรื่องยาก
WRITER: ลินห์ วิงน์ ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI TRANSLATOR: นุชจรี ปันคำ EDITOR: ธัญธร จันทสุทธิบวร “ฉันต้องรอนานแค่ไหน?” ฉันถามคำถามนี้กับตัวเองทุกวัน เมื่อไม่นานนี้ฉันจำเป็นต้องหยุดการทำงานที่อเมริกา เนื่องจากความล่าช้าของเอกสารตรวจคนเข้าเมือง...
หันหลังให้กับการเป็นไบเซ็กชวล
WRITER: เอช วาย ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI TRANSLATOR: ณัฐนันท์ จันทรศิริ EDITOR: Mustard Seed Team ครั้งแรกที่ฉันรู้สึกชอบใครบางคนตอนนั้นฉันอายุแค่ 14 ปี ฉันจำได้ว่าเธออายุมากกว่าฉันไม่กี่ปี เธอไม่ได้น่ารักเป็นพิเศษแต่เธอผิวแทน และมีลักยิ้มที่น่ารักมากเวลาที่เธอยิ้ม...