fbpx
WRITER: เชวอง ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI
TRANSLATOR: ปาลีญา ธนาวัฒนเจริญ
EDITOR: สรสิทธิ์ ฑัมมารักขิตานนท์

เมื่อฉันมาเป็นคริสเตียนตอนอายุ 16 ไม่นานฉันก็ตระหนักได้ว่าชีวิตมันตรงข้ามกับคำสอนหลายๆ อย่างของเหล่าศิษยาภิบาล ชีวิตมันไม่ได้ง่ายเลย ความจริง ชีวิตของฉันเหมือนจะยากมากขึ้น

สามปีที่แล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับพ่อแม่เริ่มเย็นชาเพราะมุมมองที่ต่างกัน เพื่อหนีจากความรู้สึกถูกปฏิเสธ สูญเสียและหมดหวังฉันเริ่มมีพฤติกรรมกินไม่หยุด (binge-eating) หลังจากนั้นปีครึ่ง โรคบูลิเมีย (โรคผิดปกติทางอารมณ์ทำให้กินมากเกินไปแล้วอาเจียนออก) กลืนกินชีวิตของฉัน และมีความวิตกกังวลด้านการกินและรูปร่าง

ท่ามกลางความบาปและความทุกข์ทรมาน พระเจ้าช่วยฉันให้ยึดมั่นในพระสัญญาของพระองค์ที่ฉันอ่านในพระคัมภีร์ว่า เพราะฉะนั้นไม่มีการลงโทษคนที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ (โรม 8:1) และพระองค์ทรงรักฉันอย่างเหลือเชื่อ ไม่มีสิ่งใดสามารถทำให้ฉันขาดจากความรักของพระเจ้า (ข้อ 38-39)

พระเจ้ายังทรงประทานเพื่อนที่สัตย์ซื่อแก่ฉันซึ่งเปิดประตูให้ฉันเข้าไปอยู่ในชีวิตของพวกเขา พวกเขาคือเพื่อนที่ฉันสามารถเปิดเผยและวางใจได้ว่าเขาจะชี้ให้ฉันเห็นถึงความหวังในพระเยซู การสังเกตนิสัยการกินของพวกเขาช่วยให้ฉันเข้าสู่ภาวะปกติได้

แต่เมื่อฉันเริ่มที่จะลดการใช้วิธีกินไม่หยุดเพื่อหนีจากปัญหา ความสิ้นหวังที่ฉันเคยรู้สึกรุนแรงขึ้นและฉันได้ตกลงไปในความมืดมิดของโรคซึมเศร้า

ทุกๆ วันตื่นขึ้นมาพร้อมกับความคิดฆ่าตัวตาย และมีหลายวันที่ฉันรู้สึกว่าไม่สามารถทำอะไรได้และต้องนอนอยู่อย่างนั้น

เมื่อเพื่อนๆ ของฉันคุยถึงกำหนดการหรือกิจกรรมต่างๆ ของมหาวิทยาลัย มันเป็นการตอกย้ำให้ฉันคิดว่าความเจ็บป่วยนี้ทำให้ฉันกลายเป็นคนไร้ความสามารถขนาดไหน การคิดถึงอนาคตมันดูไม่มีเหตุผลสำหรับฉัน ในวันที่การใช้ชีวิตให้ผ่านไปแต่ละวันยังเป็นเรื่องที่ห่างไกลเหลือเกิน

ความจริงของพระเจ้าที่ช่วยชีวิตฉันได้ยึดฉันไว้

ในพระคัมภีร์ เราเห็นพระสัญญาของพระเจ้าว่าวันหนึ่ง พระเยซูจะเสด็จกลับมาฟื้นฟูทุกอย่างและจัดการกับความแตกสลายที่เกิดจากการต่อต้านพระองค์ (โรม 8:18-21) แต่ละวัน ฉันมักจะขอร้องให้พระเยซูเสด็จกลับมาและถามพระองค์อย่างสิ้นหวังว่าทำไมพระองค์ไม่เสด็จกลับมาตอนนี้ ฉันรู้สึกราวกับว่าไม่มียาใดในโลกนี้ที่จะสามารถบรรเทาความเจ็บปวดของฉันได้ และฉันโหยหาเพียงการพักผ่อนครั้งสุดท้ายชั่วนิรันดร์ในการทรงสร้างใหม่ของพระเจ้า

หลายครั้งที่ฉันไม่ได้วางใจว่าพระคุณพระเจ้าจะเพียงพอที่ทำให้ฉันดำเนินชีวิตได้ในแต่ละวัน (ฟีลิปปี 4:19) มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ฉันพยายามที่จะจบชีวิตของฉันลง เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ฉันรู้สึกละอายใจและหลงทาง แต่มันทำให้ฉันถ่อมใจลงยอมรับความจริงที่ว่าวันนี้ฉันไม่ได้ติดสนิทกับพระเยซูเพราะความสามารถของฉันในการวางใจในพระเจ้า แต่แค่เพียงเพราะพระเจ้าทรงตัดสินพระทัยที่จะประคองและรักษาฉันไว้ ฉันไม่สามารถช่วยตัวเองได้ แต่เป็นเพราะพระคุณของพระองค์ที่ทำให้ฉันรอดผ่านความเชื่อในพระเยซู

ในช่วงเวลาที่สิ้นหวังที่สุด พระเจ้าทรงให้ฉันค่อยๆ สะสมความจริงที่ว่า พระเจ้าทรงซื้อท่านไว้โดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ (1 โครินธ์ 6:19-20)

ความจริงนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าฉันรู้สึกอย่างไร การมีประสบการณ์ความแตกสลายในจิตใจของฉัน มันกลายเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ฉันรู้ว่าความรู้สึกของฉันไม่ได้ทำให้ทุกอย่างเป็นความจริง แต่เป็นพระวจนะของพระเจ้าที่บอกฉันถึงความจริงเกี่ยวกับพระองค์และโลกนี้ ชีวิตของฉันไม่ใช่ของฉันเอง และฉันสามารถวางใจในพระเจ้าว่าพระองค์ทรงรู้ว่าพระองค์ทรงทำอะไรอยู่ และพระองค์จะมอบทุกสิ่งที่จำเป็นแก่ฉันเพื่อให้ฉันบากบั่นจนกว่าพระองค์จะเรียกฉันกลับบ้าน (2 เปโตร 1:3)

ฉันไม่ต้องใช้ชีวิตที่เป็นทาสต่อความกลัวอีกต่อไป และฉันก็ไม่จำเป็นต้องอยู่โดยปฏิเสธความเจ็บปวดของชีวิตในโลกที่แตกสลายนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในทางกลับกัน ฉันสามารถเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านี้โดยรู้ว่าพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และโลกทรงรู้จักและใส่พระทัยในฉัน และทรงควบคุมทุกอย่างอย่างสมบูรณ์

ความพิเศษคือวิธีธรรมดาของพระเจ้า

ไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้ตอกย้ำความเชื่อของฉันที่ว่า ฉันไม่จำเป็นต้องรอจนกว่าจะได้คำตอบที่ยิ่งใหญ่จากพระเจ้าต่อคำอธิษฐานขออิสระภาพจากความเจ็บป่วยในชีวิตนี้ พระเจ้าได้มอบพระสัญญาที่ยิ่งใหญ่ในพระวจนะของพระองค์และโอกาสให้เราอธิษฐานที่จะเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวในพระเยซูคริสต์

การอ่านพระธรรมสดุดีทำให้ฉันพบการร้องทูลที่สะท้อนภาพความสิ้นหวังและเศร้าโศกของฉัน เช่น ในพระธรรมสดุดี 13:1-2 เราเห็นดาวิดร้องเรียกพระเจ้า :

ข้าแต่พระยาห์เวห์ อีกนานเท่าใด? พระองค์จะทรงลืมข้าพระองค์เป็นนิตย์หรือ?

พระองค์จะซ่อนพระพักตร์จากข้าพระองค์นานเท่าใด?

ข้าพระองค์จะต้องตรึกตรองในจิตและมีความทุกข์โศกอยู่ในใจตลอดวันนานเท่าใด?

ในพระธรรมสดุดี 88:16

พระพิโรธของพระองค์ กวาดไปเหนือข้าพระองค์ สิ่งที่น่ากลัวจากพระองค์ทำลายข้าพระองค์ 

มันล้อมข้าพระองค์ไว้รอบวันยังค่ำอย่างน้ำท่วม มันท่วมข้าพระองค์มิด 

พระองค์ทรงให้คนรักและสหายห่างเหินจากข้าพระองค์ พวกเพื่อนของข้าพระองค์อยู่ในความมืด

ความสัตย์ซื่อของผู้เขียนสดุดีต่อหน้าพระเจ้าสอนฉันว่ามันเป็นสิ่งที่ปลอดภัยในการเปิดเผยทุกความคิดของฉันต่อหน้าพระบิดา และความจริงที่ว่าทุกๆ

ความรู้สึกที่ฉันมีอยู่ในคำอธิษฐานต่อพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ความรู้สึกของฉันไม่ได้ถูกสร้างให้ซ่อนอยู่ในวิธีการแก้ปัญหาแค่ชั่วคราวที่ฉันมักคุ้นเคยในการหันไปหา แต่อยู่ในคำอธิษฐานคร่ำครวญที่พึ่งพาพระบิดาแห่งฟ้าสวรรค์

หนังสือ Depression: Looking Up from the Stubborn Darkness เขียนโดย Ed Welch และหนังสือ When Darkness Seems My Closest Friend เขียนโดย Mark Meynell เป็นตัวช่วยที่เป็นประโยชน์เมื่อฉันสำรวจพระคำของพระเจ้าที่ตรัสกับโรคซึมเศร้าของฉัน สิ่งเหล่านี้ได้ให้คำศัพท์แก่ฉันในสิ่งที่ฉันรู้สึก  – คำที่ฉันสามารถร้องทูลต่อพระเจ้าในความมืดมิดได้

เหมือนเช่นสิ่งที่พระองค์ทรงทำก่อนหน้านี้ พระเจ้าได้ประทานครอบครัวในพระคริสต์ให้แก่ฉัน พวกเขาคือเพื่อนที่คอยอธิษฐานเผื่อฉัน ต้อนรับฉันในบ้านของพวกเขา จัดเตรียมอาหารให้ฉัน อ่านและร้องถึงความจริงของพระเจ้าให้ฉัน เตือนฉันถึงสิ่งที่ถูกต้อง ติวหนังสือให้ฉันเมื่อฉันเจอความยากลำบากที่มหาวิทยาลัย ขับรถและคอยอยู่เป็นเพื่อนฉันเมื่อฉันต้องไปโรงพยาบาลและพบนักจิตวิทยานับครั้งไม่ถ้วน

พวกเขาแบกความทุกข์ยากของฉันเมื่อฉันรู้สึกว่าฉันก้าวต่อไปไม่ไหว พวกเขาคอยชี้ให้ฉันมองย้อนกลับไปเห็นที่พักพิงและความหวังในพระคริสต์ พวกเขาแสดงตัวอย่างความรักของพระคริสต์แก่ฉัน และฉันไม่สามารถหาคำใดๆ มาอธิบายถึงความความรักและความช่วยเหลือที่พวกเขามีต่อชีวิตของฉัน

สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งพิเศษ มันคือวิธีธรรมดาที่พระเจ้าปกป้องดูแลลูกของพระองค์ ด้วยสิ่งเหล่านี้ พระเจ้าทำให้ฉันจดจำว่าพระองค์ทรงสถิตอยู่กับฉันในการต่อสู้ที่ยาวนาน การอภัยของพระองค์นั้นมีเพียงพอสำหรับทุกความล้มเหลวของฉัน

ยึดมั่นในความหวังของพระองค์

ความหวังที่ชัดเจนของทุกคนที่วางใจในพระเยซูคือวันหนึ่งเราจะได้พบพระองค์หน้าต่อหน้า และพระองค์จะทรงเช็ดน้ำตาทุกๆ หยดจากตาของเรา (วิวรณ์ 21:4) ฉันเฝ้ารอวันที่พระองค์จะทรงต้อนรับฉันกลับสู่บ้านของฉันจริงๆ แม้กระทั่งตอนนี้พระองค์ทรงสถิตอยู่กับฉันในทุกๆ วันที่ดีและในทุกๆ คืนที่มืดมน จนถึงวันที่เราจะได้ไปถึงฝั่งสวรรค์ในที่สุด

ไม่มีใครในพวกเราที่จะเข้าใจถึงประสบการณ์ชีวิตและความทุกข์ยากของคนอื่น สิ่งนี้ทำให้ทุกชีวิตมีประสบการณ์โดดเดี่ยวของตัวเอง แต่พระเยซูทรงรู้ดีกว่าพวกเราทุกคนและพระองค์ทรงอยู่กับเราในทุกๆ เหตุการณ์

การรู้ความจริงข้อนี้ไม่ได้ทำให้ความเจ็บปวดหรือความทนทุกข์ที่เราเผชิญเปลี่ยนไป แต่ทำให้รู้ว่าเราไม่เคยอยู่คนเดียวและมันเปลี่ยนประสบการณ์ในชีวิตของเรา

ถ้าคุณเป็นเหมือนฉันที่กำลังต่อสู้กับความเหงาและสิ้นหวัง ฉันหวังว่าคุณจะรู้ว่าพระองค์ทรงยินดีและจริงใจที่จะมอบคำเชื้อเชิญแห่งความหวังในพระคุณและพระเมตตาของพระเยซูให้กับคุณเช่นกัน

YOU MAY ALSO LIKE

ฉันมีส่วนรับผิดชอบในความรอดของเพื่อนหรือไม่?

ฉันมีส่วนรับผิดชอบในความรอดของเพื่อนหรือไม่?

WRITER: เมดาลีน คาลู ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: PinkEDITOR: ฐิติกานต์ นิธิอุทัย ฉันยังจำช่วงเวลาที่ฉันเริ่มต้นความสัมพันธ์กับพระเยซูได้ ราวกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ทุกอย่างเริ่มต้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ในช่วงที่อากาศหนาวเย็นของเดือนมกราคม ฮันนาห์...

เสียงที่ดังพอ

เสียงที่ดังพอ

WRITER: GRACESaoriEDITOR: Mustard Seed Team เคยไหม? ที่ในบางครั้งเสียงของใครบางคนก็ดังกว่าเสียงของตัวเอง เสียงนี้มักดังเร้าอยู่ภายในใจ บ่อยครั้งในเมื่อเราอยู่ในช่วงที่คิดไม่ตก ฟุ้งซ่าน หาทางออกไม่เจอหลายๆ สิ่ง แต่จะมีเสียงๆ นี้แหละ ที่กลับดังขึ้นมาหัวใจ...

ช่วยด้วย! ฉันหยุดคิดมากไม่ได้

ช่วยด้วย! ฉันหยุดคิดมากไม่ได้

WRITER: เรเชล มอร์แลนด์ ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: JoshuaEDITOR: สรสิทธิ์ ฑัมมารักขิตานนท์ ฉันมือสั่นขณะที่ฉันกำลังว้าวุ่นกับการหาข้อมูลบนอินเตอร์เน็ตในมือถือว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉัน ไม่กี่วินาทีต่อมา...

Share This