WRITER: ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI
TRANSLATOR: สุมิตรา ชามรามดาบาน
EDITOR: Mustard Seed Team
ทุกวันนี้ อาจรู้สึกเหมือนว่าเราต้องถอนเงินออกมาใช้ก่อนเพื่อดำรงชีวิต จึงจะสามารถจ่ายค่าใช้จ่ายแต่ละสัปดาห์ได้ เราถอนหายใจขณะที่เราเข็นรถเข็นไปตามทางเดินในซุปเปอร์มาร์เก็ต หือออ ตอนนี้บรอกโคลี 1 กิโล ราคา 11 เหรียญ เราเคยจ่ายได้ถูกกว่านั้นมาก
รู้สึกเหนื่อยใจกับการเดินทางไปซุปเปอร์มาร์เก็ต เราตัดสินใจซื้อไอศกรีมที่เราชอบจากพ่อค้าคนหนึ่งริมถนน แต่เมื่อเราจ่ายเงิน พ่อค้าบอกว่าราคาเพิ่มขึ้น 40 เซนต์ (ไม่อยากจะเชื่อ!) และในขณะที่ร้านอาหารอื่นๆ อาจไม่ได้ปรับขึ้นราคาอาหาร แต่ปริมาณอาหารกลับลดลงหรือเราพบว่าพ่อค้าแม่ค้าใช้วัตถุดิบอื่นเพื่อลดต้นทุน
สงครามในยูเครน การขาดแคลนวัตถุดิบ ธนาคารกลางที่เพิ่มอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อ ทั้งหมดนี้เพิ่มเข้ามาในกระเป๋าเงินของเรา สิ่งเดียวที่ไม่ได้เพิ่มขึ้นคือเงินเดือน หรือหากมีอะไรก็ตามที่ถูกเพิ่มมาก็ถูกกลืนหายไปกับการขึ้นราคา
ในขณะที่การเพิกเฉยต่อสิ่งที่เกิดขึ้นมันจะง่ายกว่าและหวังเพียงให้ช่วงเวลาที่เเย่ๆ ผ่านพ้นไป แต่ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นก็ไม่ใช่เรื่องดี
การกักตุนอาหารและการวางแผนงบประมาณอย่างชาญฉลาดนั้นตรงกันข้ามกับชีวิตหรูหราที่ขายทางสังคมออนไลน์ แต่พระคัมภีร์ยกย่องคนฉลาดที่ใช้เวลาในการจัดเก็บสิ่งจำเป็นที่พวกเขาต้องการ (สุภาษิต 21:20) แผนงานของคนขยันนำไปสู่กำไรแน่นอน (สุภาษิต 21:5)
ในขณะที่เรากำลังเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย เราได้รวบรวมเคล็ดลับ (กระปุกออมสินของคุณจะขอบคุณสำหรับสิ่งนี้!) เพื่อช่วยให้คุณผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปได้
1. พิจารณาดีๆ ก่อนตัดสินใจซื้อ
เราเคยได้ยินพ่อแม่พูดแบบนี้มาก่อนว่า “ดูของก่อนซื้อ” และตอนนี้เราสามารถเปรียบเทียบราคาออนไลน์ได้ทันที การ “ดูก่อนซื้อ” ง่ายกว่าที่เคย
การเลือกซื้อแบรนด์ทางเลือกเป็นสิ่งที่เราสามารถทำได้เพื่อลดค่าใช้จ่ายของเราเท่าที่จะทำได้ หากขนมหรือเสื้อผ้ายี่ห้อโปรดของคุณกำลังขึ้นราคา บางทีอาจถึงเวลาเปลี่ยนเป็นยี่ห้ออื่นซึ่งอาจจะถูกกว่าแต่ก็ยังมีคุณภาพอยู่!
เคล็ดลับอีกข้อหนึ่งคือ อย่าเลือกดูการลดราคาโดยไม่มีรายการที่ต้องซื้อ การเตรียมรายการซื้อให้พร้อม (สำหรับสิ่งที่จำเป็นจริงๆ หรืออาจใช้ได้) จากนั้นรอให้ลดราคา จะช่วยเราในการตัดสินใจซื้อ
2. จดบันทึกว่าคุณใช้จ่ายอะไรบ้าง
แนวคิดเฝ้าระวังการใช้จ่ายของเรานั้นไม่น่าตื่นเต้นอะไร แต่มันจะช่วยให้เราเห็นว่าทรัพยากรอันมีค่าของเรากำลังไหลไปไหน
พระธรรมสุภาษิต 27:23 กล่าวว่า “จงรู้ความทุกข์สุขของฝูงแพะแกะของเจ้าให้ดีและจงเอาใจใส่ฝูงสัตว์ของเจ้า…” ซึ่งหมายความว่าเราต้องรับผิดชอบต่อการใช้สิ่งที่พระเจ้าประทานแก่เรา ซึ่งรวมถึงการเงินของเราด้วย
หากความคิดที่จะตรวจสอบการเคลื่อนไหวบัญชีธนาคารมันทำให้หนักใจ… ไม่ต้องกังวล! ธนาคารส่วนใหญ่เสนอรายงานหรือบริการติดตามค่าใช้จ่าย และยังมีแอปติดตามค่าใช้จ่ายและจัดทำงบประมาณอีกมากมาย ที่คุณสามารถตั้งค่าเพื่อติดตามการใช้จ่ายของคุณได้
การทำเช่นนี้จะช่วยจัดหมวดหมู่ค่าใช้จ่ายของคุณ เพื่อให้คุณระบุได้ง่ายว่าหมวดหมู่ใดที่คุณจะต้องลดค่าใช้จ่ายลง
3. พัฒนาสิ่งที่มี
บางทีคุณอาจเปลี่ยนไปใช้แบรนด์อื่นและจดบันทึกค่าใช้จ่ายของคุณ แต่ก็ยังรู้สึกว่าเงินออมของคุณเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ตอนนี้เป็นเวลาที่ดีที่จะดูว่าเราสามารถวางเงินของเราไว้ที่ใดซึ่งให้ผลตอบแทนแก่เรา
ในการเริ่มต้นให้จัดการเงินออมของคุณอย่างรอบคอบโดยวางไว้ในที่ๆ ได้รับดอกเบี้ย (เช่น บัญชีออมทรัพย์ดอกเบี้ยสูงของธนาคารดีกว่าบัญชีมาตรฐานที่แทบไม่มีดอกเบี้ย)
พิจารณาเริ่มวางแผนการลงทุน ทุกวันนี้คุณสามารถหาผลิตภัณฑ์การลงทุนแบบระยะยาวที่อนุญาตให้ฝากรายเดือนโดยไม่ต้องล็อคเงินทั้งหมดของคุณ
การมองหาสถานที่หรือสิ่งที่จะลงทุนต้องใช้สติปัญญาและการค้นคว้ามากมาย ตามที่พระคัมภีร์กล่าวไว้ “ถ้าคนไม่มีความรู้ก็ไม่ดีและคนที่เร่งเท้าก็มักผิดพลาด” (สุภาษิต 19:2)
เมื่อพูดถึงการลงทุนทางการเงิน ให้ใช้เวลาศึกษาตัวเลือกที่มีอยู่และขอคำแนะนำอย่างชาญฉลาดจากผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านนี้และเป็นผู้ที่มีความซื่อตรง และจำไว้ว่าหากแผนการฟังดูดีเกินจริง ก็อาจเป็นไปได้
4. สนุกได้โดยไม่ต้องจ่ายแพง
แม้ว่าเราจะต้องเลิกดื่มชาไข่มุกหรือกาแฟเย็นแก้วโปรด (หรือทั้งสองอย่าง!) เราก็ยังสามารถหาวิธีสนุกได้โดยไม่ทำให้บัญชีของเราตกอยู่ในสภาพที่น่าสะเทือนใจ
ไม่ใช่ว่าทุกกิจกรรมจะต้องมีราคาแพง เราสามารถไปที่สวนสาธารณะ ชายหาด หรือสระว่ายน้ำที่ใกล้ที่สุดเพื่อว่ายน้ำ ไปรวมตัวกันที่บ้านของใครสักคนเพื่อดื่มกาแฟโฮมเมด หรือหากยังคิดไม่ออกจริงๆ ทำไมไม่ลองค้นหากิจกรรมหรือของฟรีสนุกๆ ละแวกบ้านของคุณ
เราเคยชินกับการคิดว่าเราต้องใช้จ่ายเพื่อสนุกกับตัวเอง แต่เราสามารถเรียนรู้ที่จะสร้างสรรค์และค้นหาวิธีสนุกสนานโดยไม่ต้องใช้จ่ายเงินมากทุกครั้ง เหนือสิ่งอื่นใด การใช้เวลาอย่างมีคุณภาพกับเพื่อนและครอบครัวนั้นประเมินค่าไม่ได้
5. ให้ด้วยใจยินดีอยู่เสมอ
แนวคิดของการเป็นคนใจกว้างในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้อาจขัดกับความรู้สึก การคิดบริจาคเงินอาจรู้สึกลำบากใจ เมื่อเราไม่ได้กินสิ่งที่เราชอบด้วยซ้ำ
การมีน้ำใจและใจกว้างขวางแม้ในเวลาที่คับขันเป็นบททดสอบความเชื่อของเรา และเมื่อเรายังคงให้ต่อไปเมื่อเรารู้สึกว่ามันยากจริงๆ เป็นการแสดงให้โลกรู้ว่าเรามีพระเจ้าเป็นผู้เลี้ยงดู ผู้ดูแลแม้กระทั่งนกบนฟ้า (มัทธิว 6:26)
เริ่มด้วยการมองไปรอบๆ เพื่อดูว่ามีใครในรอบๆ เราที่สามารถช่วยได้บ้าง อาจเป็นพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ต้องดิ้นรนหาเสื้อผ้าให้ลูก เพื่อนบ้านที่ตอนนี้กลายเป็นครัวเรือนที่มีรายได้เพียงทางเดียว หรือบัณฑิตที่หมดหวังกับงานประจำ
ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่หรือการมีน้ำใจอาจเปรียบเหมือนการมอบเสื้อผ้ามือสองคุณภาพดีกองโตให้กับพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว หรือให้บัตรกำนัลซุปเปอร์มาร์เก็ตเเก่เพื่อนบ้านและบัณฑิตจบใหม่ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ต้องกังวลเรื่องการหาอาหาร
เมื่อเราให้ สิ่งสำคัญคือเราไม่มองว่ามันเป็น “การลงทุน” โดยคิดว่าถ้าเราให้มากขนาดนี้ พระเจ้าจะ “อวยพรเราสิบเท่า” เราให้เพราะทุกสิ่งที่เรามีเป็นของประทานจากพระเจ้า (สดุดี 24:1)
นี่คือเคล็ดลับสุดท้าย! การเริ่มต้นนิสัยใหม่เพื่อช่วยให้เราจัดการการเงินได้ดีขึ้นนั้นต้องใช้เวลา ดังนั้นอย่ารู้สึกว่าต้องรีบทำทั้งหมดข้างต้นในคราวเดียว เริ่มต้นเล็กๆ โดยเลือกจุดหนึ่งที่คุณต้องการมุ่งเน้นและไปจากจุดนั้น
และในขณะที่เรายังคงรับมือกับความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจถดถอย จะมีบางครั้งที่เราพบว่าตัวเองจมอยู่กับความกังวลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่ค้างชำระ เต็มไปด้วยข่าวร้าย หรือแม้กระทั่งอิจฉาเมื่อเห็นเพื่อนของเรามีบ้านใหม่หรือเดินทางอย่างไร้กังวล
แต่เมื่อความคิดและความรู้สึกเหล่านี้ค่อยๆ เข้ามา เราสามารถอธิษฐานขอสันติสุข (2 เธสะโลนิกา 3:16) และความพึงพอใจ (1 ทิโมธี 6:6-8) และยึดมั่นในมุมมองที่ถูกต้อง: พระเจ้าจัดเตรียมให้เรา (ฮีบรู 13:5) และเป็นผู้เลี้ยงที่ดีที่ยินดีมอบอาณาจักรของพระองค์แก่ลูกๆ ของพระองค์ (ลูกา 12:32)
YOU MAY ALSO LIKE
ความผิดพลาด 3 อย่างที่สอนผมเรื่องพระปัญญาและเวลาของพระเจ้า
WRITER: ราฟาเอล ชาง ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: กาญจนา กาญจนพาทีEDITOR: ปวีณา นิลบุตร เมื่อตอนอายุประมาณ 20 ต้นๆ ผมได้วางแผนชีวิตว่าจะต้องเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ เป็นนักดนตรี และเป็นผู้รับใช้ในคริสตจักรก่อนอายุ 25 ปี...
จากโรคบูลิเมียสู่โรคซึมเศร้า: พระเยซูทรงจับฉันไว้แน่นท่ามกลางความเจ็บป่วยทางจิตใจ
WRITER: เชวอง ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: ปาลีญา ธนาวัฒนเจริญEDITOR: สรสิทธิ์ ฑัมมารักขิตานนท์ เมื่อฉันมาเป็นคริสเตียนตอนอายุ 16 ไม่นานฉันก็ตระหนักได้ว่าชีวิตมันตรงข้ามกับคำสอนหลายๆ อย่างของเหล่าศิษยาภิบาล ชีวิตมันไม่ได้ง่ายเลย ความจริง...
พระเจ้าช่วยฉันผ่านประสบการณ์เลวร้าย (ถูกล่วงละเมิดทางเพศ)
WRITER: แคทเธอรีน ฟลินน์ ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: Mustard Seed TeamEDITOR: Mustard Seed Team ในปี 2003 ฉันอายุ 24 ปี และอาศัยอยู่ในประเทศอังกฤษตอนที่ฉันถูกล่วงละเมิดทางเพศโดยเพื่อนร่วมห้องของฉัน...