
WRITER: ราฟาเอล จาง ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI
TRANSLATOR: ชลิดา สุภาแสน
EDITOR: ส้มจี๊ด
เมื่อตอนที่ผมเป็นคริสเตียนได้ไม่นาน ผมถูกสอนว่าความรู้สึกเชื่อถือไม่ได้ ผมเรียนรู้ว่าพระเจ้ายังคงรักผม แม้ว่าผมจะไม่รู้สึกว่าพระองค์รักผมก็ตาม เหมือนกับที่เก้าอี้จะสามารถรับน้ำหนักของผมได้ แม้ว่าผมไม่คิดว่ามันจะทำได้
ผมตระหนักได้ว่าความรู้สึกของผมไม่ได้กำหนดความเป็นจริงและมันก็ไม่ควรกำหนดทิศทางในการกระทำของผมเช่นกัน ผมถูกสอนว่าผมไม่จำเป็นต้องรอจนผมรู้สึกอยากอธิษฐานแล้วจึงอธิษฐาน ผมควรอธิษฐานเพราะว่าเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า
ผมพยายามย้ำเตือนตัวเอง แต่ผมพบว่ามันเป็นเรื่องที่ท้าทายเมื่อต้องทำอะไรที่ขัดแย้งกับความรู้สึกของตัวเอง มีบางครั้งที่ผมตั้งใจพาตัวเองไปโบสถ์หรือไปกลุ่มสามัคคีธรรมแต่ใจของผมไม่อยากไปหรือแม้กระทั่งขุ่นเคืองใจกับพระเจ้า ถึงแม้ว่าภายนอกผมจะดูเชื่อฟัง แต่ภายในใจของผมกลับไม่มีความชื่นชมยินดีเลย
นั่นคือจุดที่ผมตระหนักว่า มันไม่ดีเลยที่ผมทำในสิ่งที่คิดอยู่เสมอ โดยไม่มีความรู้สึกร่วมไปด้วย
อย่างไรก็ตาม พระเยซูเรียกให้เรารักพระเจ้าด้วยสุดใจ สุดจิต สุดกำลัง และสุดความคิดของเรา (ลูกา 10:27) ทั้งหัวใจและความคิดของเราต้องรวมกันเป็นหนึ่งในการจะรักพระองค์ การทำตามหัวใจโดยไม่ใช้ความคิดเป็นเรื่องไม่ฉลาดฉันใด การทำตามความคิดโดยไม่ฟังเสียงของหัวใจก็ไม่ดีฉันนั้น
แต่เราจะทำอย่างไรเมื่อบางครั้งหัวใจและความคิดก็ดึงเราไปคนละทาง? พระเจ้าได้สอนบางอย่างที่ได้ช่วยให้ผมเห็นว่าสิ่งนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นการต่อสู้อย่างต่อเนื่องเสมอไป แต่จิตใจและความคิดสามารถเป็นการพูดคุยอย่างต่อเนื่องได้
ฟังเสียงความรู้สึกของเรา
พระเจ้าแสดงให้ผมเห็นว่าในขณะที่ความรู้สึกของผมไม่ได้เชื่อถือได้เสมอไป มันไม่ได้หมายความว่าผมจะไม่สนใจมัน ถึงแม้ว่าความรู้สึกของผมอาจจะไม่ได้บอกความจริงเกี่ยวกับความเป็นจริงเสมอไป แต่มันก็บอกบางอย่างเกี่ยวกับตัวผมได้
ดังนั้น ถ้าผมรู้สึกถูกปฏิเสธแม้ว่าผมจะถูกห้อมล้อมไปด้วยครอบครัวและเพื่อนที่รักผม ผมจะไม่คิดว่าพวกเขากำลังปฏิเสธผมโดยทันที แต่ผมจะถามตัวเองว่าทำไมผมถึงกำลังรู้สึกแบบนั้น ผมจะแสวงหาความช่วยเหลือของพระเจ้าที่จะเปิดเผยปัญหาที่ลึกลงไปที่ทำให้ผมรู้สึกแบบนั้น หลังจากที่ผมได้ไอเดียของสิ่งที่อาจจะนำให้ผมรู้สึกถูกปฏิเสธแล้ว ผมจะขอให้พระเจ้าทรงปลอบโยนและรักษาผม และแสดงให้ผมเห็นถึงความจริงของพระองค์เกี่ยวกับตัวผมเองและสถานการณ์นั้น พระองค์อาจจะย้ำเตือนผม เหมือนอย่างที่พระองค์เคยทำในอดีต ว่าพระองค์ทรงยอมรับผม (โรม 15:7) ในฐานะลูกชายอันเป็นที่รัก (1 ยอห์น 3:1) และพระองค์อาจจะแสดงให้ผมเห็นว่าผมเข้าใจสถานการณ์ผิดไปและรับรู้เจตนาของคนอื่นผิดไปก็ได้
การประมวลความรู้สึกของผมด้วยกันกับพระเจ้าสามารถช่วยผมให้นำความจริงของพระองค์มาปรับใช้กับตัวเองได้ ถ้าผมถูกทำให้เจ็บปวดโดยบางสิ่ง พระเจ้าสามารถพันแผลให้ผมได้ (สดุดี 147:3) ถ้าปัญหาที่มีอยู่คือทัศนคติที่เป็นบาป พระองค์สามารถแสดงให้ผมเห็นได้ว่าผมคิดผิดไปแค่ไหน ดังนั้นผมจึงสามารถสารภาพความบาปต่อพระองค์และกลับใจใหม่ได้
การขุดลึกลงไปว่าความรู้สึกพยายามบอกอะไรกับเรา ช่วยให้เราสามารถรับการปลอบโยนจากพระเจ้าหรือการชำระความบาปได้ จากนั้นความคิดของเราก็จะสามารถใช้ความจริงที่เปิดเผยโดยพระเจ้ามารวมเข้ากับความรู้สึกเพื่อดึงเราเข้ามาใกล้พระองค์และความจริงของพระองค์ได้
เลือกสิ่งล้ำค่าของเราให้ถูก
ในขณะที่ความรู้สึกต่างๆ นั้นสำคัญ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราต้องถูกควบคุมโดยพวกมัน เมื่อผมยังเด็ก ผมเคยคิดว่าความรู้สึกจะต้องอยู่เหนือการกระทำของผมเสมอ ถ้าผมรู้สึกอยากจะทำอะไร ผมต้องใช้พลังอย่างมากในการจะไม่ทำมัน ผมเคยเชื่อว่าผมไม่สามารถทำอะไรเพื่อหยุดความรู้สึกเหล่านั้นได้เลย
แต่วันหนึ่งเมื่อพระเจ้าตรัสกับผมผ่านพระธรรมมัทธิว 6:21 ว่า “เพราะว่าทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ไหน ใจของท่านก็อยู่ที่นั่นด้วย” พระองค์ทรงนำให้ผมได้สังเกตว่าพระคำข้อนี้ไม่ได้บอกว่า “ใจของท่านอยู่ที่ไหน ทรัพย์สมบัติของท่านก็อยู่ที่นั่นด้วย” ซึ่งจะหมายความว่าผมจะรักสิ่งใดขึ้นกับว่าผมรู้สึกอย่างไร และถ้าผมไม่รู้สึกแบบนั้น ผมก็จะไม่สามารถทำให้ตัวเองรักสิ่งนั้นได้
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พระเจ้าตรัสในข้อนี้คือ สิ่งที่ผมตั้งใจเลือกที่จะให้คุณค่าจะกลายเป็นสิ่งที่หัวใจของผมเทิดทูนในที่สุด ความจริงนี้ให้กำลังใจกับผมอย่างมากเพราะว่ามันหมายความว่าผมไม่จำเป็นต้องยอมจำนนต่ออิทธิพลของความรู้สึกโดยไร้ทางช่วยเหลืออีกต่อไป!
ยกตัวอย่างเช่น ผมไม่เคยชินกับการอธิษฐานและอ่านพระวจนะ แต่ผมขอให้พระเจ้าช่วยผมให้รักสิ่งใดก็ตามที่อยู่ในพระทัยของพระองค์ ดังนั้น ด้วยการช่วยเหลือของพระเจ้า ผมจึงเริ่มอธิษฐานและอ่านพระวจนะเพื่อเป็นการให้คุณค่ากับสิ่งเหล่านี้ ไม่ว่าผมจะรู้สึกอยากทำหรือไม่ก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป ใจของผมเริ่มจะคล้อยตาม วันนี้ ผมรักการอธิษฐานและการอ่านพระวจนะมากกว่าเมื่อก่อน ผ่านการทำแบบนี้ ผมได้เรียนรู้ว่าการที่ผมเลือกที่จะให้คุณค่าโดยการกระทำสามารถมีผลไปถึงสิ่งที่ผมรู้สึกรักในใจของผมได้
มีสิ่งหนึ่งที่ศิษยาภิบาลของผมเคยพูดไว้ ซึ่งตอนนี้ผมได้มีประสบการณ์ส่วนตัวแล้วนั่นก็คือ “เมื่อคุณเห็นเหมือนอย่างที่พระเจ้าทรงเห็น คุณจะทำเหมือนอย่างที่พระเจ้าทรงทำ แต่บางครั้ง คุณก็ต้องทำสิ่งที่พระเจ้าอยากให้ทำ ก่อนที่จะเห็นสิ่งที่พระองค์ทรงเห็น”
เมื่อใจของผมไม่ไปในทางเดียวกับสิ่งที่อยู่ในพระทัยพระเจ้า ผมรู้สึกขอบคุณพระเจ้ามากๆ ที่พระองค์ทรงให้ความคิดกับผมซึ่งสามารถนำหัวใจของผมที่จะเลือกทางของพระองค์ได้ แทนที่จะต้องรู้สึกเหมือนว่าผมเห็นด้วยเสียก่อนหรือให้คุณค่ากับสิ่งที่พระองค์ตรัสก่อนจึงจะสามารถเชื่อฟังพระองค์ได้ พระองค์ทรงแสดงให้ผมเห็นว่าไม่ว่าผมจะรู้สึกอย่างไร เมื่อผมเลือกที่จะทำสิ่งที่พระองค์ตรัสและวางสิ่งล้ำค่าของผมไว้ในที่ที่พระองค์อยากให้ผมวาง นั่นจะช่วยผมให้เห็นถึงสิ่งที่พระองค์ทรงเห็น แล้วหัวใจของผมจึงรักสิ่งที่พระองค์ทรงรักได้
มีความคิดที่ถูกต้องเพื่อชักจูงอารมณ์ความรู้สึก
และสุดท้ายนี้ เราสามารถที่จะชักจูงความรู้สึกของเราโดยการคิดถึงสิ่งที่ถูกต้องได้ ผมเคยได้ยินคำคมที่ว่า “คุณไม่ได้เป็นในสิ่งที่คุณคิด แต่สิ่งที่คุณคิดคือสิ่งที่คุณเป็น” อีกคำคมหนึ่งได้อธิบายต่อว่า
“ระวังความคิดของคุณ เพราะมันจะกลายเป็นคำพูด
ระวังคำพูดของคุณ เพราะมันจะกลายเป็นการกระทำ
ระวังการกระทำของคุณ เพราะมันจะกลายเป็นความเคยชิน
ระวังความเคยชินของคุณ เพราะมันจะกลายเป็นนิสัย
ระวังนิสัยของคุณ เพราะมันจะกลายเป็นเป้าประสงค์ของคุณ”
สำหรับผม คำคมนี้เน้นว่าความคิดมีบทบาทสำคัญในการตัดสินว่าคุณจะเป็นคนแบบไหนและใช้ชีวิตอย่างไร นี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมพระคัมภีร์ถึงชี้แนะให้เรา “ยึดกุมความคิดทุกประการให้มาเชื่อฟังพระคริสต์” (2 โครินธ์ 10:5)
สิ่งนี้ช่วยผมให้ซาบซึ้งมากขึ้นว่าทำไมพระวจนะของพระเจ้าถึงกระตุ้นเราให้ใคร่ครวญถึงสิ่งที่เป็นจริง สิ่งที่น่านับถือ สิ่งที่ยุติธรรม สิ่งที่บริสุทธิ์ สิ่งที่น่ารัก สิ่งที่น่ายกย่อง สิ่งที่ยอดเยี่ยม สิ่งที่ควรแก่การสรรเสริญ (ฟิลิปปี 4:8) และไม่มีอะไรยอดเยี่ยมและควรแก่การสรรเสริญกว่าพระเจ้า พระวจนะของพระองค์ พระทัยของพระองค์ และทางของพระองค์อีกแล้ว ถ้าเราคิดถึงสิ่งเหล่านี้มากขึ้นนอกจากสมองของเราจะจำมันได้แล้ว ความคิดเหล่านี้จะส่งผลถึงหัวใจและชีวิตของเราอีกด้วย
ในความปรารถนาที่จะรักพระเจ้าของผม ผมอยากจะรักพระองค์ทั้งสุดใจและสุดความคิดของผม ศิษยาภิบาลและนักศาสนศาสตร์ชาวอเมริกัน ทิโมธี เคลเลอร์ พูดว่า “คุณมีหัวใจที่บริสุทธิ์ เมื่อสิ่งที่คุณควรทำและสิ่งที่คุณอยากทำเป็นสิ่งเดียวกัน ความพอใจและหน้าที่เป็นสิ่งเดียวกัน”
บนหนทางแห่งการยินยอมให้พระเจ้าเข้ามาทำให้จิตใจของเราบริสุทธิ์มากขึ้นๆ ผมดีใจที่พระเจ้าประทานวิธีการต่างๆ ให้จิตใจและความคิดของเราได้มีส่วนร่วมในกันและกัน เพื่อที่เราจะสามารถรักพระเจ้าได้อย่างเต็มที่ พระองค์ทรงคู่ควรให้เรารักพระองค์ด้วยสุดชีวิต เพราะพระองค์คือผู้เดียวที่รักเราก่อนด้วยสุดหัวใจ สุดความคิด สุดจิต และสุดกำลังของพระองค์
YOU MAY ALSO LIKE
จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าฉันไม่อยากอ่านพระคัมภีร์หรืออธิษฐาน
WRITER: ฉีฉี ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: นิศารัตน์ มั่นเกตุEDITOR: กรชวัล เพชรเลิศอนันต์ มันเป็นอีกหนึ่งวันที่ยาวนาน ในระหว่างที่ดูแลพวกลูกๆ สะสางงานต่างๆ ก็แทบจะไม่มีเวลาให้ได้พักหายใจเลย เมื่อลูกๆ...
ฉันมีส่วนรับผิดชอบในความรอดของเพื่อนหรือไม่?
WRITER: เมดาลีน คาลู ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: PinkEDITOR: Thitikarn Nithiuthai (Mesy) ฉันยังจำช่วงเวลาที่ฉันเริ่มต้นความสัมพันธ์กับพระเยซูได้ ราวกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ทุกอย่างเริ่มต้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ในช่วงที่อากาศหนาวเย็นของเดือนมกราคม ฮันนาห์...
เสียงที่ดังพอ
WRITER: GRACESaoriEDITOR: Mustard Seed Team เคยไหม? ที่ในบางครั้งเสียงของใครบางคนก็ดังกว่าเสียงของตัวเอง เสียงนี้มักดังเร้าอยู่ภายในใจ บ่อยครั้งในเมื่อเราอยู่ในช่วงที่คิดไม่ตก ฟุ้งซ่าน หาทางออกไม่เจอหลายๆ สิ่ง แต่จะมีเสียงๆ นี้แหละ ที่กลับดังขึ้นมาหัวใจ...