WRITER: ราฟาเอล ชาง ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI
TRANSLATOR: ปาลีญา ธนาวัฒนเจริญ
EDITOR: ธัญธร จันทสุทธิบวร
สวัสดี ผมชื่อราฟาเอล ผมเป็นคนที่ชอบความสมบูรณ์แบบ (รักความเป๊ะ) ที่ได้รับการรักษาแล้ว ผมเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เกิด ความทรงจำแรกเกี่ยวกับแนวโน้มที่จะเป็นคนที่ชอบความสมบูรณ์แบบ เริ่มตอนที่ผมอายุ 4 -5 ขวบ หลังจากพยายามที่จะต่อเลโก้แต่ไม่สำเร็จตามที่ผมคิดไว้ ผมทำลายเลโก้ทิ้งทั้งหมดด้วยความหงุดหงิดและรู้สึกผิดหวังในตัวเอง
พระเจ้าทำให้ผมเห็นว่าความสมบูรณ์แบบเป็นปัญหาในชีวิตของผมเมื่อตอนที่ผมกำลังทำโปรเจ็คจบในช่วงปีสุดท้ายของการเรียนปริญญาตรี ผมต้องการให้วิทยานิพนธ์ของผมสมบูรณ์แบบ มันเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมเริ่มกดดันตัวเองอย่างมาก ไม่นานหลังจากนั้น ความกดดันก็มากจนเกินกว่าที่ผมจะรับได้ ทำให้ผมเข้าสู่ภาวะซึมเศร้า ในตอนนั้น พระเจ้าเริ่มตรัสกับผมเกี่ยวกับการชื่นชอบความสมบูรณ์แบบของผม พระเจ้าทรงสำแดงให้ผมเห็นบางสิ่งที่ทำให้ผมกลายเป็นคนที่ชอบความสมบูรณ์แบบ และวิธีที่จะทำผมถึงจะดีขึ้นได้อย่างไร
กลัวการถูกปฏิเสธ
ความละอายใจเป็นสิ่งที่ผมต่อสู้มาตลอดชีวิต ความละอายเข้ามาและตะโกนใส่ผมว่า “มีบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับคุณ คุณยังไม่ดีพอ” มันมักจะไล่ตามผมทันทีเมื่อผมไม่ได้ตั้งตัวและจู่โจมด้วยคำโกหก สิ่งนี้มักจะทำให้ผมกลัวว่าคนอื่นจะปฏิเสธผมเพราะผมยังไม่ดีพอ ผมกลัวที่จะทำให้คนอื่นผิดหวัง
เวลาผ่านไป พระเจ้าทรงเปิดเผยให้ผมเห็นว่าความละอายใจคือสิ่งที่นำผมไปสู่การชอบความสมบูรณ์แบบ ซึ่งเกิดจากความกลัวว่าคนอื่นจะปฏิเสธผมถ้าพวกเขาพบว่าผมไม่ดีพอ ผมจึงพยายามที่จะทำทุกอย่างอย่างสุดกำลัง ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์กับทุกคน งานที่ได้รับมอบหมาย หรือพันธกิจที่พระเจ้ามอบโอกาสให้ผมได้ทำ เพื่อให้ผมได้รับการยอมรับและผ่านการทดสอบ เมื่อผมได้รับการยอมรับและคำสรรเสริญ ผมจะรู้สึกดีขึ้นกับตัวเอง ในช่วงเวลาหนึ่งผมจะรู้สึกมั่นใจว่าผมไม่ได้ไร้ค่าเหมือนที่ผมคิด
อย่างไรก็ตาม ความละอายใจก็จะไล่ตามผมอีกและกระซิบว่า “คุณเห็นไหม พวกเขาชอบคุณเพียงเพราะสิ่งที่คุณทำ ไม่ใช่สิ่งที่คุณเป็น ถ้าพวกเขารู้ว่าจริงๆ แล้วคุณเป็นอย่างไร คุณคิดว่าพวกเขาจะยังคงยอมรับคุณหรอ?” เมื่อใดก็ตามที่ผมเชื่อในคำเหล่านั้น ผมก็ได้ให้ความละอายใจนำผมไปสู่การต้องเป็นคนที่สมบูรณ์แบบ เพื่อที่จะขับไล่ความกลัวการถูกปฏิเสธ ซึ่งมันเป็นวงจรที่เลวร้าย
ด้วยวิธีนี้ ผมมักจะผูกคุณค่าของตัวเองกับงานที่ผมทำ ผมพบว่าผมพยายามที่จะทำทุกอย่างให้ดีที่สุดซึ่งไม่ได้เกิดจากความรักที่ผมมีต่อพระเจ้าหรือคนอื่นๆ แต่เกิดจากความต้องการที่จะขจัดความไม่มั่นคงและสร้างความมั่นใจให้ตัวเอง
ความคิดแบบขาวดำ
ความคิดแบบขาวดำหรือที่เรียกอีกอย่างว่า ทั้งหมดหรือไม่มีเลย คืออีกสิ่งที่พระเจ้าอยากให้ผมสังเกตว่ามันเป็นความคิดที่ไม่ดีที่ทำให้ผมนิยมความสมบูรณ์แบบมากขึ้น ผมมักจะมองชีวิตแบบสุดขั้ว ไม่ดีไปเลยก็แย่ไปเลย เช่น ถ้าผมทำบางอย่างได้ไม่สำเร็จ ร้อยเปอร์เซ็นเหมือนที่ผมคาดหวังไว้ผมจะถือว่านั่นคือความล้มเหลวทันที หรือถ้าบางคนชมผมแต่ยังวิจารณ์ผมในบางเรื่อง ผมจะถือว่าคนนั้นรู้สึกในแง่ลบกับผมทั้งหมด
เพราะความคิดแบบขาวดำ ทุกสิ่งที่ผมทำจึงใช้ความพยายามสูงสุดโดยไม่เหลือที่ว่างให้ความล้มเหลว ผมรู้สึกว่าผมจะต้องไปให้ถึงจุดที่สมบูรณ์แบบในทุกสิ่งที่ผมทำ
ถ้าความพยายามของผมเกือบจะสมบูรณ์แบบแต่ไม่ทั้งหมด ผมจะถือว่ามันคือความผิดหวังทั้งหมด
พระเจ้าทรงเปิดเผยกับผมว่า เมื่อใดก็ตามที่ผมเทียบงานของผม (สิ่งที่ผมทำ) กับคุณค่าของผม (สิ่งที่ผมเป็น) การแสวงหาความสมบูรณ์แบบของผมจะทำให้ผมผัดวันประกันพรุ่ง ผมมักจะเริ่มทำงานช้าลง เพราะสิ่งที่ผมอยากทำให้สำเร็จจะเป็นงานที่เสี่ยงมากสำหรับผม ความเชื่อผิดๆ จะพูดว่า “สร้างผลงานที่สมบูรณ์แบบแล้วคุณจะได้รับรางวัลเป็นความรักและการยอมรับ ซึ่งจะเพิ่มคุณค่าของคุณ แต่ไม่ว่าวิธีใดคุณจะทำไม่สำเร็จ คุณจะทุกข์ทรมานกับการไม่เป็นที่รักและการไม่เป็นที่ยอมรับซึ่งยืนยันกับคุณว่าคุณนั้นไม่ดีพอ”
ดังนั้น ความกลัวความล้มเหลวของผม ลึกๆ แล้วมันเชื่อมโยงกับความกลัวการถูกปฏิเสธ ซึ่งทำให้ผมผัดวันประกันพรุ่ง เพราะตราบใดที่ผมไม่เริ่มมันผมก็ไม่เสี่ยงที่จะถูกปฏิเสธ แต่อีกด้านหนึ่ง การผัดวันประกันพรุ่งก็ทำลายเป้าหมายของความสมบูรณ์แบบของผม เพราะถ้าผมไม่เริ่มงานนั้นมันก็จะยืนยันถึงความล้มเหลวทันที (น่าขัน ที่ผมผัดวันประกันพรุ่งเป็นเวลาสองเดือนขณะเขียนบทความนี้!)
เรียนรู้ว่าผมเป็นที่รักในพระคริสต์
เพราะรากฐานของความต้องการความสมบูรณ์แบบคือความละอายใจ พระเจ้าคอยยืนยันกับผมถึงความรักของพระองค์ที่มีต่อผมและมุมมองที่พระองค์มองผม
วันหนึ่ง ผมถามพระเจ้าว่าพระองค์ทรงคิดอย่างไรกับผมระหว่างที่ผมอธิษฐานในที่ประชุม ผมเห็นภาพน้ำตก แต่ผมไม่แน่ใจว่ามันหมายถึงอะไรจนหลังจากนั้น 4วัน ผมได้ฟังคำเทศนาของศาสนาจารย์ชาวอังกฤษ แซม อัลเบอร์รี่ (Sam Alberry) หัวใจผมเกือบหยุดนิ่งเมื่อผมได้ยินท่านพูดว่า
สำหรับนิรันดร์กาล พระบิดาทรงเทความรักของพระองค์มาสู่พระบุตร และนี่เป็นเหมือนน้ำตกไนแองการาแห่งความรักจากพระบิดาสู่พระบุตร และพระเยซูทรงตรัสว่าเมื่อเราเข้ามาหาพระองค์ เราจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระองค์ เราจะเข้าสู่ภายใต้ความรักเดียวกันกับพระองค์และนี่คือความจริง พระเยซูตรัสว่า (ในยอห์น 17:22-23) พระบิดาทรงรักเราทั้งหลาย เหมือนที่พระองค์ทรงรักพระบุตรที่สมบูรณ์แบบของพระองค์
ผมรู้ทันทีว่าภาพน้ำตกคือวิธีที่พระเจ้าเตือนผมว่าพระองค์ทรงรักผม และความรักของพระองค์ที่มีให้ผมมันยิ่งใหญ่และมากมายเหมือนความรักที่พระองค์เทให้พระบุตรของพระองค์
ว้าว ผมไม่มีคำพูดใดๆ
เพราะความจริงนี้ทำให้เสียงของความละอายใจไม่มีอิทธิพลต่อผมอีกต่อไป ผมอาจจะไม่สมบูรณ์แบบ แต่ผมถูกเลือกและถูกรักโดยพระเจ้า (เอเฟซัส 1:3-6) ผมไม่จำเป็นต้องวิ่งไล่ตามความสมบูรณ์แบบเพื่อที่จะได้รับการยอมรับจากคนอื่น เพราะผมได้รับการยอมรับจากพระเยซูคริสต์ (โรม 15:7)
พระเจ้าทรงบอกให้ผมหยุดที่จะพยายามดิ้นรนและพักสงบในพระองค์ พระองค์ทรงยืนยันให้ผมมั่นใจว่าความชื่นชมยินดีของพระเจ้าจะไม่ลดน้อยหรือจางหายไป พระองค์ย้ำเตือนผมว่าพระองค์ยินดีที่จะมอบชีวิตของพระองค์เพื่อผมก่อนที่ผมจะรู้จักพระเจ้าและถึงแม้ว่าคุณค่าของผมอาจเทียบไม่ได้กับพระองค์ แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปคือพระองค์ ผู้ยังทรงเหมือนเดิมวานนี้ วันนี้และตลอดไป (ฮีบรู 13:8) ที่ทรงมอบพระองค์เองให้แก่ผม
ให้คุณค่ากับการเติบโตมากกว่าความสมบูรณ์แบบ
เมื่อผมได้เรียนรู้ที่จะหลีกเลี่ยงการคิดแบบทั้งหมดหรือไม่มีเลย ผมยังจดบันทึกเกี่ยวกับพระเจ้าทรงมองความสมบูรณ์แบบอย่างไร ถึงแม้ว่ากษัตริย์ดาวิดจะทรงล่วงประเวณีและสังหาร และยังนับประชากรซึ่งขัดต่อน้ำพระทัยพระเจ้า แต่พระเจ้าทรงตรัสว่า พระทัยของดาวิดได้อุทิศให้ต่อพระเจ้า (1 พงษ์กษัตริย์ 11:4) พระเจ้าทรงถือว่าดาวิดคือผู้ที่รักษาพระบัญญัติของพระองค์และกระทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระองค์ (1 พงษ์กษัตริย์ 14:8)
นี่เป็นสิ่งที่พิเศษสำหรับผม ผมจึงได้รู้ว่าถึงแม้ดาวิดจะไม่สมบูรณ์แบบ แต่เขาพร้อมที่จะสารภาพความบาปของเขากับพระเจ้าในทุกครั้งที่เขาได้ทำบาป (2 ซามูเอล 24:10)
เหมือนกับว่าแนวคิดของพระเจ้าเกี่ยวกับความสมบูรณ์แบบไม่ใช่ชีวิตที่ไม่มีบาป แต่เป็นหัวใจที่พร้อมและอยากได้รับการชำระและกลับคืนดีกับพระองค์
ตัวอย่างนี้ทำให้ผมหลีกเลี่ยงที่จะมองชีวิตของผมเองหรือชีวิตของคนอื่นๆ เป็นขาวหรือดำ มันสอนให้ผมมองในแบบที่พระเจ้าทรงมอง ผมเข้าใจมากขึ้นถึงพระคุณของพระเจ้าที่อนุญาตให้ชีวิตของผมมีความผิดพลาดได้ เมื่อผมพลาดไปในบางจุดนั้นไม่ได้หมายความว่าผมล้มเหลวในทุกอย่าง แต่พระคุณของพระเจ้าเสริมกำลังให้ผมลุกขึ้นมาและวิ่งอย่างพากเพียรในลู่วิ่งที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ให้ผม (ฮีบรู 12:1-3)
ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าสอนผมให้เห็นคุณค่าของการเติบโตมากกว่าความสมบูรณ์แบบ ผมจะไม่มีวันลืมวันที่ผมได้อ่านพระคัมภีร์ตอนนี้ “โดยการถวายบูชา (พระเยซูคริสต์) เพียงครั้งเดียว พระองค์ก็ได้ทรงกระทำให้คนทั้งหลายที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้วนั้นถึงความสมบูรณ์ตลอดไป” (ฮีบรู 10:14)
ผมจ้องมองที่คำเหล่านั้นสักพักหนึ่ง พระคัมภีร์ได้บอกว่าในฐานะคริสเตียน ผมได้รับการทำให้สมบูรณ์ในสายพระเนตรของพระเจ้า ผมยังต้องประพฤติตนให้สมกับความรอดโดยการมุ่งไปที่ความบริสุทธิ์ (ฟิลิปปี 2:12) แต่สิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจคือ พระเจ้าไม่ได้มองผมเหมือนคนที่พังทลายที่ไม่สามารถใช้งานได้ แต่พระองค์ทรงมองผมว่า ผมได้รับการทำให้สมบูรณ์แบบตลอดไป เพราะการถวายเครื่องบูชาของพระเยซู
ความรู้นี้ทำให้ผมเป็นอิสระในการให้คุณค่ากับเส้นทางการเติบโตในพระเจ้าแทนที่จะรู้สึกละอายใจเพราะไม่สามารถทำตามมาตรฐานของพระองค์ได้ เมื่อก่อนนี้ ผมเชื่อฟังพระเจ้าเพราะความกลัวที่จะถูกพระองค์ปฏิเสธ ผมไม่เคยรู้สึกชื่นชมยินดีเมื่อติดตามพระองค์ การเป็นคริสเตียนคือหน้าที่และพันธะสำหรับผม เป็นภาระที่หนักสำหรับผม
แต่ตอนนี้ผมได้เรียนรู้มากขึ้นว่าอะไรคือการเชื่อฟังพระเจ้า เพราะพระองค์ทรงรักผมและทรงเปรมปรีดิ์ในผม (เศฟันยาห์ 3:17, สดุดี 147:11) และผมอยากที่จะรักพระองค์ตอบ (ยอห์น 14:15, 21) ผมรู้ว่าพระคุณของพระเจ้าเพียงพอสำหรับความผิดพลาดของผม (2 โครินธ์ 12:9) และไม่มีสิ่งใดที่ผมสามารถทำเพื่อเปลี่ยนวิธีที่พระเจ้าทรงมองผมว่าผมสมบูรณ์แบบและเป็นลูกที่รักของพระองค์
ในขณะที่ผมกำลังทำงานกับความชอบความสมบูรณ์แบบของผม ผมเรียนรู้ที่จะให้ความรักของพระเจ้าเข้ามาแทนที่ความละอายใจหรือความกลัวที่จะเข้ามาบังคับให้ผมใช้ชีวิตในแบบที่ผมเป็น ผมรู้แล้วว่า ในพระองค์ ผมไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบเพื่อที่จะเป็นที่รักหรือได้รับการยอมรับ ในทางกลับกัน แทนที่จะใช้ชีวิตให้สมบูรณ์แบบในทุกๆ ด้าน ผมเป็นอิสระที่จะใช้ชีวิตในความสมบูรณ์แบบของพระเจ้าที่มีในผม
YOU MAY ALSO LIKE
จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าฉันไม่อยากอ่านพระคัมภีร์หรืออธิษฐาน
WRITER: ฉีฉี ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: นิศารัตน์ มั่นเกตุEDITOR: กรชวัล เพชรเลิศอนันต์ มันเป็นอีกหนึ่งวันที่ยาวนาน ในระหว่างที่ดูแลพวกลูกๆ สะสางงานต่างๆ ก็แทบจะไม่มีเวลาให้ได้พักหายใจเลย เมื่อลูกๆ...
ฉันมีส่วนรับผิดชอบในความรอดของเพื่อนหรือไม่?
WRITER: เมดาลีน คาลู ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: PinkEDITOR: Thitikarn Nithiuthai (Mesy) ฉันยังจำช่วงเวลาที่ฉันเริ่มต้นความสัมพันธ์กับพระเยซูได้ ราวกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ทุกอย่างเริ่มต้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ในช่วงที่อากาศหนาวเย็นของเดือนมกราคม ฮันนาห์...
เสียงที่ดังพอ
WRITER: GRACESaoriEDITOR: Mustard Seed Team เคยไหม? ที่ในบางครั้งเสียงของใครบางคนก็ดังกว่าเสียงของตัวเอง เสียงนี้มักดังเร้าอยู่ภายในใจ บ่อยครั้งในเมื่อเราอยู่ในช่วงที่คิดไม่ตก ฟุ้งซ่าน หาทางออกไม่เจอหลายๆ สิ่ง แต่จะมีเสียงๆ นี้แหละ ที่กลับดังขึ้นมาหัวใจ...