
WRITER: โจนาธาน ฮายาชิ ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI
TRANSLATOR: ศุภิสรา เจริญศรีศิลป์
EDITOR: พาทินธิดา เจริญสวัสดิ์
“ผมรักพระเยซูแต่ไม่รักโบสถ์”
นี่คือประโยคที่มีคนๆ หนึ่งบอกกับผมและมันทำให้ผมสับสนนิดหน่อย เขาพูดต่อว่า “ผมดูคำเทศนาออนไลน์ในห้องนั่งเล่นที่บ้านของผมได้ไหม? ผมจะไม่มีวันทิ้งพระเยซูแต่ผมพอแล้วกับการไปโบสถ์”
มันเป็นไปได้ไหมที่จะใช้ชีวิตกับพระเยซูแต่ไม่ไปโบสถ์? โบสถ์ของเรามีบทบาทอะไรในการเปลี่ยนแปลงชีวิตของแต่ละคน? คนๆ หนึ่งจะเติบโตโดยไม่เข้าไปมีส่วนร่วมกับโบสถ์ได้ไหม?
ในบทสนทนาแบบนี้ผมสัมผัสได้ถึงความสับสนอย่างหนักเกี่ยวกับความเข้าใจเรื่องการไปโบสถ์โดยเฉพาะเรื่องลักษณะและบทบาทหน้าที่ของโบสถ์ ในฐานะศิษยาภิบาลผมจึงขอแนะนำให้ผู้ที่กำลังสับสนอยู่เริ่มต้นจากการค้นหาก่อนว่าพระคัมภีร์พูดถึงโบสถ์ไว้อย่างไร
1. เราเข้าโบสถ์เพื่อตัวของเราเอง
พระเจ้าคือองค์ตรีเอกานุภาพซึ่งประกอบด้วยพระบิดาพระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์ สถิตอยู่รวมกันโดยมีสัมพันธภาพที่สมบูรณ์แบบปรองดองและเป็นหนึ่งเดียว ดังนั้น พวกเราที่ถูกสร้างขึ้นตามพระฉายของพระเจ้า(ปฐมกาล 1:27) จึงถูกเรียกให้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันและ “โบสถ์” หรือ “คริสตจักร” ก็เป็นชุมชนที่พระเจ้าสร้างขึ้นเพื่อพวกเรา
ถึงแม้ว่าคริสตจักรหรือโบสถ์จะหมายถึงการรวมตัวของผู้เชื่อพระเจ้าแต่มันก็ไม่ใช่ระบบที่มนุษย์สร้างขึ้น พระเยซูทรงสัญญาว่า “เราจะสร้างคริสตจักร” (มัทธิว 16:18) และพระองค์ทรงทำตามพระสัญญานั้นโดยการเรียกประชากรของพระองค์ให้เข้ามาหาพระองค์ ผู้เขียนลูกาเล่าถึงการเติบโตของคริสตจักรว่าไม่ได้เติบโตได้ด้วยความพยายามหรือการกระทำของมนุษย์เพียงอย่างเดียว แต่มันคือการทำงานของพระเจ้าในแต่ละวัน(กิจการของอัครทูต 2:47) จนวันนี้พระเจ้าก็ยังคงสร้างคริสตจักรเพื่อพวกเราและเพื่อพระเกียรติของพระองค์อยู่
โบสถ์ของผมเองก็เคยผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากในตอนนั้นเกิดการแตกแยกอย่างหนักและมีการต่อว่าใส่ร้ายกัน พวกเราถูกยุยงว่าควรแยกย้ายกันไปคนละโบสถ์แต่แทนที่จะทำแบบนั้นพระเจ้าก็ทรงเข้ามาจัดการเรื่องนี้และด้วยการอดอาหารกับอธิษฐานอย่างหนัก หลังจากนั้นโบสถ์ของเราก็เติบโตขึ้นจากความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและมีความเป็นผู้ใหญ่ขึ้นในด้านจิตวิญญาณ ซึ่งพระเจ้าเท่านั้นที่สมควรได้รับเกียรติสำหรับการเติบโตขึ้นในครั้งนี้
พระเจ้าของเราเป็นพระเจ้าผู้นำคนมาอยู่ร่วมกัน เราจะเห็นว่าในเฉลยธรรมบัญญัติพระเจ้ารอคอยที่จะรวบรวมประชากรของพระองค์เข้าด้วยกัน ถึงแม้ว่าพระเจ้าจะทำให้พวกเขากระจัดกระจายเพื่อลงโทษสำหรับการไม่เชื่อฟังก็ตาม(เฉลยธรรมบัญญัติ 30:1–8, 28:64) หนึ่งในจุดประสงค์ของการมีโบสถ์นั้นก็เพื่อเราจะได้มาอยู่ร่วมกันและนมัสการพระเจ้าในโคโลสี3:16 อัครทูตเปาโลบอกกับพวกเราว่า “จงให้พระวจนะของพระคริสต์อยู่ในพวกท่านอย่างบริบูรณ์จงสั่งสอนและเตือนสติกันด้วยปัญญาทั้งสิ้นจงร้องเพลงสดุดีเพลงนมัสการและเพลงฝ่ายจิตวิญญาณด้วยการขอบพระคุณพระเจ้าในใจของท่าน” และใน
ฟีลิปปีอัครทูตเปาโลก็บอกอีกว่าเราทั้งหลายถูกเลือกโดยพระเจ้าเพื่อสรรเสริญพระเกียรติของพระองค์(เอเฟซัส1:12)
สิ่งที่เราเห็นจากพระคัมภีร์ก็คือพระเจ้าจะขัดเกลาเราได้เต็มที่เมื่อเรามาอยู่รวมกันเพื่อนมัสการพระเจ้า การนมัสการคือการแสดงออกถึงสิ่งที่อยู่ในใจ คนเราจะนมัสการได้ก็ต่อเมื่อรู้ว่า ตัวเองเป็นมนุษย์ผู้เล็กน้อยที่กำลังอยู่ต่อหน้าพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ เราทุกคนคือคนบาปเมื่อมาอยู่ต่อหน้าพระเจ้าผู้ทรงบริสุทธิ์และเที่ยงธรรม ซึ่งแม้คนบาปควรจะได้รับโทษ แต่พระคุณของพระเยซูคริสต์และพระเมตตาของพระเจ้ากลับทำให้เราได้รับการอภัยและเตรียมเราสู่ชีวิตนิรันดร์ เพราะฉะนั้นด้วยความเคารพยำเกรงและความรักซาบซึ้งในพระคุณเราจึงแสดงออกด้วยการก้มลงนมัสการพระเจ้าของเรา เมื่อเรานำความจริงนี้เข้ามาในการสามัคคีธรรมใจของเราก็จะเป็นเหมือนดินที่สมบูรณ์คุณอาจจะไม่รู้สึกแบบนี้ทุกอาทิตย์แต่เราทั้งหลายต่างก็รู้ว่าแม้ในการสามัคคีธรรมเล็กๆ พระเจ้าทรงเคลื่อนไหวอยู่
เมื่อเปาโลให้คำปรึกษากับทิโมธีในการเป็นผู้นำคริสตจักรเปาโลได้บอกให้ทิโมธีขยันและใช้ชีวิตตามคำสอนอย่างจริงจังด้วยความอดทน “เขาจะสามารถช่วยทั้งตัวเองและทุกคนที่ฟังเขาให้รอดได้” (1 ทิโมธี 4:13-16) เช่นเดียวกัน พวกเราจะได้รับการเปลี่ยนแปลงจากพระเจ้าเมื่อทำอย่างคำแนะนำของเปาโลและเมื่อเรานมัสการพระเจ้าผ่านบทเพลงร่วมกันฟังพระวจนะของพระเจ้าหักแบ่งขนมปังในพิธีมหาสนิทร่วมกันและช่วยผู้อื่นให้รอด
การไม่ยอมไปโบสถ์คือการขัดขวางแผนงานของพระเจ้าที่อยากจะสร้างเราให้เติบโต
2. เราเข้าโบสถ์เพื่อผู้เชื่อคนอื่น
ก่อนที่พระเยซูจะสิ้นพระชนม์พระองค์ได้ตรัสกับเหล่าสาวกว่า “จงรักกันและกัน” (ยอห์น 13:34) วิธีหนึ่งที่เป็นรากฐานสำคัญในการจะเชื่อฟังคำสั่งนี้ได้ก็คือการเป็นส่วนหนึ่งของโบสถ์
ในโบสถ์เราต่างก็มีหน้าที่ที่จะต้องดูแล และร่วมสร้างกันและกันให้มีความเชื่อที่เติบโตขึ้นในพระเจ้า(โคโลสี 1:28) เพื่อจุดประสงค์นี้เองพระคริสต์จึงได้ตั้งเหล่าอัครทูตให้เป็นพื้นฐานของคริสตจักร(เอเฟซัส 2:20) และพระองค์ทรงประทานให้บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะผู้ประกาศข่าวประเสริฐศิษยาภิบาลหรืออาจารย์(เอเฟซัส 4:11–13) ผู้เขียนฮีบรูได้เตือนเราว่า “จงนบนอบเชื่อฟังบรรดาผู้นำของท่านทั้งหลายเพราะว่าพวกเขาดูแลรักษาจิตวิญญาณของพวกท่านอยู่อย่างคนที่ต้องถวายรายงานจงให้พวกเขาทำงานนี้ด้วยความชื่นชมยินดีไม่ใช่ด้วยความเศร้าใจซึ่งจะไม่เป็นประโยชน์แก่พวกท่านเลย” (ฮีบรู 13:17) คนเหล่านี้คือผู้นำที่พระเจ้าใช้งานเพื่อช่วยเราให้มีความสัมพันธ์และเติบโตกับพระเจ้ามากขึ้น
จากความหมายของข้อพระคัมภีร์เหล่านี้จะเห็นได้ว่าพวกเรามีความสัมพันธ์มีมิตรภาพและเป็นหนึ่งเดียวกันเพื่อออกไปประกาศข่าวประเสริฐถึงแม้เราทุกคนจะไม่ใช่ศิษยาภิบาลหรืออาจารย์แต่พวกเราก็อยู่ในพระคริสต์และถูกถักทอเข้าด้วยกันโดยมิตรภาพที่เหนือธรรมชาติ(เอเฟซัส 2:19) ในกิจการของอัครทูตเราจะเห็นได้ถึงภาพสวยงามของคริสตจักรที่ทุกคนเชื่อและทำตามคำสอนของเหล่าอัครสาวก โดยมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นทานอาหารอธิษฐานและแบ่งปันทุกสิ่งทุกอย่างด้วยกันรวมถึงทรัพย์สินสิ่งของต่างๆที่แต่ละคนต้องการด้วย(กิจการของอัครทูต 2:42)
เราควรจะดำเนินชีวิตอย่างนี้เพราะมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะอ่านพระคำและมีความคิดว่าการเป็นคริสเตียนก็เหมือนอย่างศาสนาประเภทหนึ่งที่ดำเนินชีวิตแบบ “แค่ตัวฉันและพระเยซูเท่านั้น” แต่ในทางกลับกันพระคำตอนนี้ได้บอกเราว่าภาระของเพื่อนบ้านคือภาระของเราความชื่นชมยินดีของเพื่อนบ้านคือความชื่นชมยินดีของเราและชีวิตของเพื่อนบ้านคือชีวิตของเรา พระเจ้าใช้เราทุกคนในชีวิตของกันและกันเพื่อจะสานต่อการงานของพระคริสต์โดยฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์
เพื่อนของผมที่เป็นคนเริ่มบทสนทนาในประโยคแรกของบทความนี้หยุดมาโบสถ์ทันทีหลังจากที่เขาได้พูดกับผมในวันนั้นแต่ในช่วงเวลาที่เขาต้องผ่านความยากลำบากของการเจ็บป่วยและปัญหาครอบครัวโบสถ์ก็ยังคงเข้าหาเขาโดยการไปเยี่ยมเยียนและอธิษฐานเขาเริ่มตระหนักได้อย่างช้าๆ ว่ามันไม่ดีสำหรับผู้เชื่อที่จะไม่เข้าร่วมที่ชุมนุมของผู้เชื่อด้วยกันและหลังจากนั้นเขาก็กลับมาโบสถ์อีกครั้ง
ความรอดไม่ใช่เรื่องส่วนตัวแต่เป็นเรื่องที่เชื่อมเราไว้กับพระเจ้าและประชากรของพระองค์และจากมุมมองของพระคัมภีร์ในเรื่องชุมชนคริสตจักรแล้ว พวกเรายังคงจะเติบโตในพระคริสต์ต่อไป กระทั่งเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายจิตวิญญาณ
3. เราเข้าโบสถ์เพื่อผู้ที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า
การผูกมัดตัวเองเข้ากับโบสถ์อันเป็นส่วนหนึ่งในร่างกายของพระคริสต์ก็เหมือนการประกาศให้โลกนี้ได้รู้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่สำคัญคนมากมายรอบตัวเราจะเห็นว่าเราให้เวลาและลงแรงไปกับสิ่งใด ลองคิดภาพตอนเราบอกคนอื่นว่าเราเลือกจะไปนอนไปดูการแข่งกีฬาหรือกลับบ้านไปตัดหญ้าแทนที่จะไปโบสถ์ดูสิ! เราต่างก็รู้ว่าจะมีคนมากมายที่พร้อมจะหมายหัวคนอื่นว่า“คริสเตียนแย่ๆ”คุณและผมอาจรู้จักคนที่เยาะเย้ยสิ่งที่เราเลือกจะลงเวลาและให้ความสำคัญว่ามันเป็นสิ่งที่ไร้สาระแต่เรื่องราวของไม้กางเขนเป็นฤทธานุภาพของพระเจ้าสำหรับเราทุกคนที่รอดแล้ว(1 โครินทร์ 1:18)
พระเยซูกล่าวว่า“ถ้าท่านรักกันและกันดังนี้แหละทุกคนก็จะรู้ว่าท่านเป็นสาวกของเรา” (ยอห์น 13:35) เพราะความรักของพวกเราที่มีสำหรับพี่น้องในพระคริสต์เป็นภาพที่สวยงามสำหรับคนทั่วโลก
เรื่องราวของผมก็เป็นตัวอย่างหนึ่งผมมาจากครอบครัวที่แตกร้าวเมื่ออายุ 12 ปีผมก็เข้าร่วมแก๊งที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นักและดำเนินชีวิตด้วยความบาปผมอารมณ์ร้าย ซึมเศร้า และยังเกลียดพระเจ้ากับคริสเตียนเป็นที่สุดเพราะพวกคริสเตียนในความคิดผมคือกลุ่มคนที่คิดว่าตัวเองถูกต้องและชอบธรรมตีสองหน้าและชอบตัดสิน
อย่างไรก็ตามอีก 2 ปีถัดมาผมก็ได้พบกับศิษยาภิบาลคนหนึ่งและคิดว่าเขาแตกต่างจากคนทั่วไป เพราะผมเห็นความรักและเคารพจากโบสถ์ที่มีให้กับเขาและจากเขาที่มีให้กับโบสถ์เช่นกันกระทั่งถามเขาว่า “อะไรคือความลับ?” นั่นจึงเป็นครั้งแรกที่เขาแบ่งปันเรื่องราวของพระเจ้าให้กับผม และหนึ่งปีหลังจากนั้นผมก็ตัดสินใจมอบชีวิตให้กับพระเจ้า
แน่นอนว่าพวกเราไม่สมบูรณ์แบบ ทั้งยังมีความผิดพลาดและมีสิ่งต่างๆ ที่เราเห็นว่าไม่ควรเกิดขึ้นในโบสถ์แต่สาเหตุที่มันเกิดขึ้นนั้นก็เป็นเพราะโบสถ์คือที่ๆ รวมคนแตกร้าวและมีปัญหาเข้าไว้ด้วยกัน! และในสถานการณ์แบบนี้พระเจ้ากลับใช้พวกเราให้ทำงานในชีวิตของกันและกัน
โดยพระคุณของพระเจ้าความรัก และการยอมรับที่เรามีให้กันจะส่องแสงในโลกใบนี้พวกเราทุกคนไม่ว่าจะเป็นคริสเตียนหรือไม่ก็ล้วนแล้วแต่ถูกสร้างขึ้นตามพระลักษณะของพระเจ้า ซึ่งในส่วนลึกของจิตใจนั้นมนุษย์ทุกคนปรารถนาที่จะมีความสัมพันธ์กับมนุษย์คนอื่นๆและปรารถนาที่จะมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าผู้เป็นตรีเอกานุภาพเช่นกัน ด้วยพระคุณของพระเจ้าความรักของพวกเราในฐานะโบสถ์จะแสดงให้โลกได้เห็นถึงสิ่งที่เป็นไปได้ เพราะพระเจ้าทรงเลือกให้โบสถ์เป็นเหมือนเครื่องมือในการแสดงพระเกียรติของพระองค์ให้แก่ทุกชนชาติ
โบสถ์ไม่ใช่ตัวเลือก
การเข้าโบสถ์ไม่ใช่การเข้าร่วมการประชุมหรือเป็นสถานที่ที่คุณเลือกที่จะเข้าร่วมหรือไม่เข้าร่วมก็ได้บทบาทของเราแต่ละคนในโบสถ์เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างอัตลักษณ์ของเราในพระคริสต์และอัตลักษณ์นี้จะขัดเกลาชีวิตทุกด้านของเราพระคัมภีร์เขียนว่าพระเจ้าได้วางโครงสร้างบางอย่างไว้เพื่อการเติบโตของเราผ่านการที่พวกเรารักซึ่งกันและกัน และเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในคริสตจักรที่เราจะประกาศความเป็นประชากรในอาณาจักรของพระคริสต์ได้!
“และขอให้เราพิจารณาดูเพื่อจะปลุกใจกันและกันให้มีความรักและทำความดีอย่าขาดการประชุมเหมือนอย่างบางคนทำเป็นนิสัยแต่จงหนุนใจกันให้มากยิ่งขึ้นเพราะพวกท่านก็รู้อยู่ว่าวันนั้นใกล้เข้ามาแล้ว” (ฮีบรู 10:24–25)
YOU MAY ALSO LIKE
ถึงหนุ่มๆ คริสเตียนทุกคนที่ยังโสดอยู่
WRITER: เจฟฟรี่ เซียว ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI TRANSLATOR: สรสิทธิ์ ธัมมารักขิตานนท์ EDITOR: ธัญธร จันทสุทธิบวร การอยู่เป็นโสดไม่ใช่เรื่องผิด ใช่ คุณอ่านถูกแล้ว มันไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไรถ้าหากคุณยังไม่แต่งงานหรือผูกพันธ์กับใคร หรือยังไม่เคยคบหาดูใจกับใครเลย...
เหตุผล 3 ประการว่าทำไมการเป็นคริสเตียนถึงดีจริงๆ
WRITER: แดเนียล ไรอัน เดย์ ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI TRANSLATOR: ณัฐพร ชังเจริญ EDITOR: Mustard Seed Team แดเนียลแต่งงานกับคนรักที่คบกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมปลายและเป็นคุณพ่อลูกสาม เขาเป็นผู้เขียนหนังสือที่มีชื่อว่า แล้วอะไรต่อ: งานในฝันของคุณ การทรงเรียกของพระเจ้า...
3 เคล็ดลับในการฟื้นฟูช่วงเวลาเฝ้าเดี่ยวของเรา
WRITER: เดบร้า อาย์อิส ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI TRANSLATOR: เฮจี คิม EDITOR: สวิตตา เจริญศรีศิลป์ พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า มนุษย์ไม่ได้ดำรงชีวิตอยู่ด้วยอาหารเพียงสิ่งเดียว แต่จะดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยทุกสิ่งที่ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระยาห์เวห์ (เฉลยธรรมบัญญัติ 8:3, มัทธิว 4:4)...