fbpx
WRITER: จานีน ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI
TRANSLATOR: เฮจี คิม
EDITOR: Mustard Seed Team

การฆ่าตัวตาย เรามักจะหลีกเลี่ยงคำนี้ให้พ้นจากสายตา เพราะดูน่ากลัว ต้องเผชิญหน้า และเป็นจริงเกินไป เราอ่านเจอได้ในหนังสือพิมพ์และดูข่าว แต่ส่วนใหญ่แล้วมันไม่ได้กระทบใจเราเป็นการส่วนตัว เรามักจะแสดงความคิดเห็นอย่างห่างๆ ว่า “ถ้าเพียงใครสักคนทำอะไรบางอย่าง… ครอบครัวของเธอ/เขาจะไม่รู้เลยหรอ”

แต่บางครั้งเรื่องเหล่านี้ไม่มีการเตือนล่วงหน้า ไม่มีสัญญาณเตือนภัย ที่กำลังจะเกิดขึ้น

บางครั้งอาจจะมีสัญญาณเตือน แต่ก็แทบจะดูไม่ออก เพราะเราอาจให้เหตุผลว่าพวกเขาเหล่านั้นแค่มีอารมณ์แปรปรวน ถ้าเป็นผู้หญิงก็คงเป็นอาการก่อนมีประจำเดือน หรือคิดว่าเป็นเพียงช่วงชีวิตที่ในที่สุดพวกเขาจะ “ต้องผ่านพ้นไปให้ได้” เรามักจะคิดว่าหากเราผ่านความเจ็บปวดของตัวเองมาได้อย่างไร เราก็มักจะคาดหวังว่าคนอื่นจะผ่านมันไปได้เหมือนกันกับเรา

แต่จะเป็นอย่างไรถ้าหากความเศร้าที่พวกเขารู้สึกไม่เหมือนที่เราเคยรู้สึกละ? แล้วถ้าความรู้สึกเหล่านั้นกัดกินพวกเขาทีละนิด? แล้วถ้าหากความเจ็บปวดที่พวกเขารู้สึกอยู่ภายในได้ครอบงำจนทำให้ไม่สามารถหาเหตุผลได้ละ? แล้วถ้าหากความคิดในหัวทำให้พวกเขาเชื่อว่าความเจ็บปวดทางร่างกายจะสามารถขจัดความรู้สึกชาจากบาดแผลทางอารมณ์ได้ละ?

การฆ่าตัวตายเป็นหัวข้อที่มีผลต่อจิตใจของฉัน เพราะฉันเคยเห็นมันเกิดขึ้นกับคนรอบข้างและคนใกล้ตัว และฉันก็เคยเจอกับตัวเอง

จุดเริ่มต้น

ประสบการณ์ของฉันกับการฆ่าตัวตายนั้น ไม่เกี่ยวกับว่าไม่ได้ไม่มีคนมาช่วยบรรเทาความกังวลของฉัน แต่มันเป็นการต่อสู้อย่างเงียบๆ เพียงลำพัง และเกิดขึ้นอยู่ภายในเป็นส่วนใหญ่ บ่อยครั้งที่สิ่งเหล่านี้น่ากลัวที่สุดเพราะไม่มีสัญญาณทางกายภาพ ไม่มีใครรู้ความคิดที่กำลังก่อตัวขึ้นในหัวของฉันนอกจากตัวฉันเอง

ฉันแน่ใจว่าไม่มีใครคาดคิดว่าฉันจะตกอยู่ในภาวะซึมเศร้าหรือแม้แต่คิดฆ่าตัวตาย ผู้คนมักจะเห็นรอยยิ้มของฉันและคิดว่าฉันเป็นคนร่าเริงสดใส ไม่ใช่ว่าฉันไม่มีความสุข ฉันชอบนะที่คนคิดแบบนั้น และนั่นคือปัญหา เพราะความสุขดูเหมือนจะเป็นความรับผิดชอบและหน้าที่ของฉัน ฉันจึงเก็บซ่อนความเศร้าทั้งหมดไว้

แต่ความจริงแล้วฉันทำได้ไม่ดีเท่าไหร่หนัก ฉันโหยหาความรักอย่างสุดชีวิต แม้ว่ามันจะทำให้ฉันรู้สึกสับสน และฉันไม่สามารถเข้าใจความซับซ้อนทั้งหมดของมันได้ แต่ฉันก็ต้องการมัน ฉันอยากจะรู้สึกถึงการถูกรัก แต่มากกว่านั้น ฉันอยากจะมีความรัก บางทีฉันอาจถูกหลอกโดยภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์ที่ทำให้ฉันเชื่อว่าฉันต้องการความรักจากมนุษย์จึงจะสมบูรณ์ นั่นคือการแสวงหาของฉันในช่วงวัยรุ่น

จำได้ว่าฉันพยายามขอความช่วยเหลือจากคุณครูที่ปรึกษาของโรงเรียนเมื่อตอนอายุ 15 ปี แม้ว่าการให้คำปรึกษาจะเป็นสิ่งที่ผู้คนหลีกเลี่ยงเพราะกลัวจะถูกตัดสินว่าเป็นคนมีปัญหาหรือเป็นคนไม่ปกติ แต่ฉันก็สงสัยอยู่ดี ฉันจำได้ว่าเดินชนกับครูแนะแนวที่โรงเรียนตรงบันไดระหว่างเดินทางไปฝึกซ้อมร้องเพลงประสานเสียง เมื่อสิ้นสุดบทสนทนา ฉันถูกเข้าใจผิดว่า “เธอไม่ต้องการคำปรึกษาหรอก” เขากล่าว “เธอก็เหมือนเด็กคนอื่นๆ นั่นแหละ เรียกร้องความสนใจ เธอมาจากครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ แล้วจะมีปัญหาอื่นได้อย่างไร?”

ฉันยังคงจดจำคำพูดเหล่านั้น “เธอไม่จำเป็นต้อง—“, “เธอก็เหมือนเด็กคนอื่นๆ—“ “เธอมาจากครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ—“ แต่ฉันไม่โทษเขานะ เขาอาจมีนักเรียนอีกหลายคนที่ต้องรับมือ และฉันก็คงดูเหมือนเด็กคนสุดท้ายที่ต้องการความช่วยเหลือ แต่ฉันรู้… ฉันรู้ว่าความเหงาจะเข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญในห้องนอนทันทีที่ฉันอยู่คนเดียว ฉันรู้ว่าความโศกเศร้ามันสามารถทำให้ฉันจมดิ่งลงได้

ประสบการณ์นั้นยืนยันสิ่งที่ฉันเชื่อมาตลอดว่า ฉันไม่สามารถปล่อยให้คนอื่นเข้าถึงได้ ฉันร้องไห้ไม่ได้ ฉันไม่สามารถปล่อยได้ ในที่สุด ความรู้สึกที่ฉันพยายามหลีกหนีก็กลืนกินฉัน ความรู้สึกเศร้าโศก วิตกกังวล และการทำอะไรไม่ถูก จะเล็ดลอดเข้ามาในเวลาที่ฉันคาดไม่ถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาก่อนที่ฉันจะนอน ฉันรู้สึกอึดอัดเหมือนหายใจไม่ออก ฉันรู้สึกไม่คู่ควร ขมขื่น และโกรธผสมปนเปในเวลาเดียวกัน ฉันไม่รู้วิธีทำความเข้าใจกับสิ่งที่ฉันรู้สึก เหนือสิ่งอื่นใดฉันรู้สึกสับสน

จุดแตกหัก

จุดแตกหักของฉันมาถึงในอีกหลายปีต่อมา ตอนฉันอายุ 19 ปี และเพิ่งออกจากความสัมพันธ์ที่แย่มากๆ การเลิกราไม่ใช่สาเหตุหลักที่ทำให้ฉันเศร้าใจ แต่เป็นเพราะเหตุการณ์เล็ก ๆ ที่สะสมมาโดยไม่ทันได้ตั้งตัว และทำให้ทุกอย่างแย่ลง ฉันสูญเสียทุกอย่างที่ฉันรัก—ไม่สิ ที่จริงแล้ว ฉันสูญเสียบุคคลเดียวที่ฉันรัก ฉันลงทุนความรักมากเพื่อคนคนนี้ โดยที่ฉันไม่รู้ตัว เขาได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของฉันไปแล้ว ฉันยอมให้เขาทำทุกอย่างกับฉัน เมื่อเขามีความสุขฉันก็มีความสุข เมื่อเราทะเลาะกันฉันโทษตัวเอง เมื่อเขาไม่อยู่ ฉันรู้สึกเหมือนส่วนหนึ่งของฉันขาดหายไป ดังนั้น เมื่อเราเลิกกัน ฉันรู้สึกราวกับว่าส่วนหนึ่งของฉันถูกพรากไปจากตัวตนของฉันอย่างไร้ความปรานี

ฉันเลยเลือกไปฝีกเรียนมวยไทย การฝึกนั้นหนักพอที่จะทำให้ฉันรู้สึกบางอย่าง แต่ยังไม่เพียงพอ ฉันหยิบลองบอร์ดดิ้งขึ้นมาและเล่นสเก็ตอย่างบ้าระห่ำเพื่อให้อะดรีนาลีนพลุ่งพล่านในเส้นเลือด การลงเขาด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อนั้นน่าตื่นเต้น—แต่เท่านั้นก็ยังไม่พอ จากนั้นฉันก็เลยไปสัก มันเจ็บเมื่อเข็มเจาะผิวหนังของฉัน ประทับคำว่าความแข็งแกร่งที่หลังส่วนล่างของฉัน บางทีฉันก็อยากจะเจ็บปวด บางทีฉันก็อยากจะเข้มแข็ง แต่ถึงกระนั้นก็ไม่เพียงพออยู่ดี

ความเศร้าไม่ได้หายไปแค่พียงเพราะคุณต้องการ มันยังคงอยู่ และเมื่อคุณเริ่มรู้สึกโอเคอีกครั้ง มันก็คืบคลานเข้ามาเพื่อเตือนคุณว่าคุณรู้สึกไม่คู่ควรและเล็กน้อยเพียงใด ข้าพเจ้าจึงกลับไปกลืนกินความโศกเศร้าอีกครั้ง สองสามเดือนหลังจากการเลิกราอันเจ็บปวดตอนนั้น ฉันพบว่าตัวเองมีความสัมพันธ์ใหม่อีกครั้ง มันไม่ได้ทำให้ความเศร้าของฉันหายไป ในความเป็นจริงฉันยังคงรู้สึกเศร้าอย่างไม่น่าเชื่อเป็นครั้งคราว เมื่อความสัมพันธ์นั้นสิ้นสุดลงประมาณหนึ่งปีครึ่งต่อมาฉันก็พังทลาย

ตอนฉันเรียนมหาวิทยาลัยปีสอง อยู่ไกลจากบ้าน เมื่อคุณอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย เมื่อความสะดวกสบายของคุณถูกพรากไป คุณก็ไม่มีเหตุผลที่จะเก็บมันไว้อีกต่อไป ฉันก็เลยปลดปล่อย เจ็ดวันหลังจากการเลิกราเป็นช่วงที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของฉัน ฉันคิดฆ่าตัวตายและไม่กินอะไรเลย แทบไม่ดื่มน้ำด้วย จิตใจของฉันหมกมุ่นอยู่กับความเจ็บปวด ความรู้สึกผิด และความสงสัย จนฉันไม่สามารถคิดหาเหตุผลใดๆ ได้อีก ฉันซ่อนตัวจากผู้คน ฉันแค่อยากจะสมเพชตัวเองคนเดียว ครั้งเดียวที่ฉันออกจากบ้านคือไปติวหนังสือ ฉันนั่งติวไปอย่างฝืนใจ มันมาถึงจุดที่ฉันรู้สึกชาไปเสียทุกอย่าง ฉันแค่เคลื่อนไหว ไม่คิด ไม่รู้สึกใดๆ และไม่ใช่ตัวเองอีกต่อไป

การแทรกแซง

แต่พระเจ้าเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่ฉันไม่สามารถซ่อนได้ ฉันพยายามแล้ว แต่พระองค์ไม่ได้ทำให้ฉันถูกซ่อนได้ง่ายๆ ตอนนั้นฉันไม่รู้จักพระเจ้าจริงๆ —ฉันรู้แค่เรื่องราวพระองค์ ฉันโตมากับการอ่านพระคัมภีร์ ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ที่เฝ้าดูแลประชากรของพระองค์ในทะเลทรายเป็นเวลา 40 ปี ผู้ปกป้องดาเนียลจากสิงโต ผู้ซึ่งอยู่กับดาวิดในขณะที่เขาปราบยักษ์โกลิอัท ผู้ซึ่งอยู่กับโยบแม้ว่าเขาจะถูกพรากทุกสิ่งทุกอย่างไป และผู้ที่อยู่กับชัดรัค เมชาค และเอเบดเนโกในเตาไฟที่ลุกโชน ปกป้องพวกเขาจากเปลวไฟ ปล่อยให้พวกเขาเดินออกไปโดยไม่ถูกไฟไหม้

แต่ฉันไม่ได้รู้จักพระองค์เป็นการส่วนตัว

ในสัปดาห์เดียวกับที่ฉันอกหัก ฉันไปพักผ่อนกับทางคริสตจักรซึ่งมีเพื่อนคริสเตียนที่สนิทรวมอยู่ด้วย นั่นคือตอนที่ฉันพังทลายและยอมให้พระเจ้าทำงานในใจฉัน ฉันไม่สามารถบรรยายความรู้สึกเมื่อภาระถูกยกออกไปแล้ว มันดูเหมือน . . ไม่จริง ฉันไม่เคยรู้สึกปีติยินดีเท่านี้มาก่อน เพราะฉันได้กีดกันพระเจ้าออกจากสมการและเลือกที่จะมองหาความรักผิดที่ เมื่อมองย้อนกลับไป ฉันตระหนักว่าฉันมีพื้นที่ว่างของพระเจ้าในตัวฉัน แต่ฉันพยายามเติมเต็มด้วยสิ่งอื่นแทนนอกจากพระองค์ แต่ไม่มีสิ่งใดที่ยิ่งใหญ่พอและทุกอย่างเลยไม่เป็นไปตามที่คาดหวังไว้

แต่ขณะที่ฉันนอนบนพื้นคร่ำครวญและร้องทูลต่อพระเจ้า พระองค์ได้พาฉันออกจากทะเลแห่งความสงสัยในตัวเอง ความหดหู่ใจ ความโกรธ และความเกลียดชังที่ฉันจมอยู่ในนั้น และเปี่ยมล้นอยู่ในพระคุณของพระองค์ พระองค์ทรงเตือนฉันถึงคุณค่าของตัวเองในพระองค์ และไม่มีสิ่งใดสามารถแยกฉันออกจากความรักที่สมบูรณ์ มั่นคง เที่ยงแท้ของพระองค์ได้ เมื่อรู้ว่าพระเจ้าผู้สร้างภูเขา เติมทะเล และเลี้ยงนกในอากาศทรงรู้จักชื่อฉันและรักฉันเหมือนกัน ฉันรู้สึกท่วมท้น ฉันหยุดวิ่งหาและยอมให้พระเจ้าโอบกอดฉันไว้ 

ฉันเริ่มเข้าใจความรัก และรู้ว่าความรักที่แท้จริง บริสุทธิ์ และทรงพลังซึ่งพบได้จากการแสวงหาหัวใจของพระบิดาเพียงเท่านั้น

นั่นคือตอนที่ฉันตัดสินใจอย่างมีสติที่จะติดตามพระเจ้าที่ไม่เคยหยุดตามหาฉัน

สิ่งต่างๆ ไม่ได้สวยงามเสมอไปหลังจากนั้น ฉันกลับมาเศร้าโศกอีกหลายครั้ง ปัจจุบันก็ยังรู้สึกอยู่ แต่ความแตกต่างคือความเศร้าไม่ได้กลืนกินฉัน ฉันสามารถพูดคุยกับพระเจ้าเกี่ยวกับความรู้สึกของฉันได้ ไม่ว่ามันจะยากแค่ไหนกับการต่อสู้กับปีศาจในหัวของฉัน แน่นอนว่ามันยังคงยากสำหรับฉันที่จะอ่อนแอและไม่โกหกว่าสบายดี บางครั้งฉันใช้เวลานานในการเปิดใจให้คนอื่นรู้เกี่ยวกับความเจ็บปวดของฉัน เพราะกลัวว่าถ้าฉันเปิดเผยบาดแผลเหล่านี้แล้ว พวกเขาจะติดเชื้อและไม่หาย แต่พวกเขามักจะทำ ความรักที่สมบูรณ์นั้นก็ขับไล่ความกลัวออกไปเสีย และความรักของพระองค์จะรักษาบาดแผลทั้งหมด

ฉันรู้ว่าไม่ใช่ทุกคนที่เชื่อในการมีอยู่ของพระเจ้า และฉันก็เป็นเพียงเรื่องราวเดียว แต่ฉันหวังว่าการแบ่งปันของฉันจะช่วยให้คุณเห็นว่าคุณไม่ได้อยู่คนเดียว เราทุกคนต่างเป็นมนุษย์ และบางครั้งเรายอมให้ความไม่เพียงพอ ความเกลียดชังตนเอง ความโกรธ และความไร้ค่ามากัดกินเรา เพื่อลดทอนคุณค่าและความสำคัญในตนเองของเรา

อยากให้รู้ว่าคุณสามารถพูดคุยกับใครบางคนเกี่ยวกับความเศร้าของคุณได้เสมอ แสดงความคิดของคุณเป็นคำพูด ประโยคหรือการเขียนก็ได้ ความเจ็บปวดทางร่างกายมีแต่จะทำให้คุณรู้สึกได้นานก่อนที่จะกลับไปสู่สภาพเดิมที่เคยไป มันไม่ได้รักษาคุณ มีแต่ทำให้คุณเฉยชา อย่างไรก็ตาม การปล่อยภาระของคุณอย่างช้าๆ จะช่วยรักษาได้

มันจะเจ็บปวดและยากที่จะทนกับสถานการณ์ของคุณในบางครั้ง ความทรงจำมีวิธีค่อยๆแทรกซึมช่วงเวลาแห่งความสุขของเรา และนำเรากลับไปสู่ช่วงเวลาที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิต แต่ถ้าคุณนำเอากำลังที่คุณมีทั้งหมดเพื่อเอื้อมไปหาพระเจ้า ความเศร้าโศกนี้ที่คุณมีก็ไม่จำเป็นต้องเอาชนะแล้ว พระเจ้าประทานกำลังให้คุณต่อสู้กับมัน และยิ่งไปกว่านั้นพระองค์จะทรงต่อสู้แทนคุณ เพียงคุณต้องพักสงบเท่านั้น (อพยพ 14:14)

YOU MAY ALSO LIKE

การต่อสู้กับการกลัวตกเทรนด์ (FOMO)

การต่อสู้กับการกลัวตกเทรนด์ (FOMO)

WRITER: มิเชล ไล ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: อรุณพร ทักษิณทวีทรัพย์EDITOR: Mustard Seed Team ฉันได้ยินคำย่อนี้ครั้งแรกในโบสถ์ของฉันเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา นักศึกษามหาวิทยาลัยคนหนึ่งเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับความยากลำบากในการจัดการเวลาหลังจากเข้ามหาวิทยาลัย...

ทำไมการถ่อมใจ จึงไม่เหมือนกับการลดคุณค่าในตัวเอง

ทำไมการถ่อมใจ จึงไม่เหมือนกับการลดคุณค่าในตัวเอง

WRITER: จาเนล ไบร์ทเท็นสไตน์ ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: Mustard Seed TeamEDITOR: Mustard Seed Team เพื่อนของฉันจ้องมองมาที่ฉันผ่านเฟสไทม์พร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอ “ฉันแค่อยากให้เธอรู้ว่าฉันนับคำว่า 'โง่' ได้ถึงหกครั้งเมื่อเธอพูดถึงตัวเอง” เธอยิ้ม...

จะรู้ได้อย่างไรว่าเมื่อไรควรลาออก

จะรู้ได้อย่างไรว่าเมื่อไรควรลาออก

WRITER: แอนดรูว์ แลร์อาด ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: ณัฐฤทัย อาสาประโคนEDITOR: Mustard Seed Team แอนดรูว์ ทำงานอยู่กับ City Bible Forum ในประเทศออสเตรเลีย และเป็นผู้ดูแลโครงการ Life@Work...

Share This