WRITER: เจสซิกา ทัน ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI
TRANSLATOR: ปาลีญา ธนาวัฒนเจริญ
EDITOR: อาเกียว
ฉันต้องต่อสู้กับความวิตกกังวลเมื่อต้องจากครอบครัวเสมอ
เป็นเวลานานแล้วที่การไปเรียนหรือทำงานต่างประเทศเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้สำหรับฉัน แต่เมื่อตอนที่ฉันอายุ 19 ฉันได้มีโอกาสไปฝึกงาน 5 เดือนเพียงลำพังที่ซานฟานซิสโกซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรที่เรียน
ช่วงเวลานั้น ฉันมั่นใจว่า ฉันไม่มีความกังวลต่อการต้องจากครอบครัวอีกแล้ว เพราะฉันไม่ได้รู้สึกหวั่นวิตกต่อการเดินทางไปอีกประเทศหนึ่งด้วยเครื่องบิน ซึ่งใช้เวลาถึง 17 ชั่วโมง ประกอบกับการกลับบ้านในช่วงนั้นไม่มีอะไรที่น่าสนใจ ฉันจึงกระตือรือร้นที่จะเดินทางออกไปใช้ชีวิตนอกสิงคโปร์
แต่เมื่อฉันกลับไปที่สิงค์โปร์และได้อยู่กับครอบครัวอีกครั้ง ความวิตกกังวลต่อการแยกจากของฉันกลับมาอีกครั้ง
ช่วงเวลาก่อนที่ฉันจะเริ่มเรียนมหาวิทยาลัยที่เมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ความสัมพันธ์ของฉันกับพ่อแม่แน่นแฟ้นมาก ฉันจำได้ว่าฉันจมดิ่งไปกับความเศร้าเมื่อพ่อแม่ของฉันอำลาฉันหลังจากที่ใช้เวลาสองอาทิตย์ช่วยฉันจัดการสิ่งต่างๆ ในเมลเบิร์น
ตลอดช่วงเวลาในการเรียนมหาวิทยาลัย รูปแบบของความวิตกกังวลต่อการแยกจากของฉันสังเกตได้ง่ายมาก มันจะเริ่มขึ้นหนึ่งหรือสองวันก่อนที่ฉันจะต้องกลับไปเรียน หลังจากที่ใช้เวลาช่วงวันหยุดฤดูร้อนที่สิงค์โปร์
อย่างไรก็ตาม ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2019 ความกังวลได้กลับมาหาฉันและครั้งนี้ยาวถึง 1 สัปดาห์ก่อนเดินทาง เจ็ดวันที่ฉันมักตื่นขึ้นมาเพราะความหวาดกลัวอย่างท่วมท้นที่จะต้องจากบ้าน มันทำให้ฉันไม่อยากลุกขึ้นจากเตียงเพราะนั่นหมายความว่าฉันต้องเผชิญหน้ากับความจริงที่ว่าฉันจะต้องจากบ้านไปในเร็วๆ นี้ ไม่ว่าเพื่อนหรือครอบครัวของฉันจะคอยปลอบโยนฉันมากแค่ไหนก็ไม่สามารถทำให้ความรู้สึกแย่ๆ ข้างในที่คอยควบคุมฉันอยู่หายไปได้
สันติสุขจากพระเจ้าที่ไม่สามารถอธิบายได้
หนึ่งวันก่อนที่ฉันจะบินกลับไปเมลเบิร์นในเดือนกุมภาพันธ์นั้น ความหวาดกลัวกลับมาโจมตีฉันอีกครั้ง มันทำให้ฉันรู้สึกหายใจไม่ออกและหวิว ฉันร้องต่อพระเจ้า ถามคำถามเดิมที่ฉันถามพระองค์เมื่อหลายวันก่อน ทำไมพระองค์ไม่เอาหนามใหญ่นี้ออกจากเนื้อของฉัน? ทำไมฉันถึงไม่ดีขึ้น? ทำไมฉันต้องเผชิญความสิ้นหวังนี้ไปเรื่อยๆ แน่นอนว่ามันมาถึงจุดที่แย่ที่สุด
แต่ในขณะที่ฉันกำลังครุ่นคิดกับตัวเองเงียบๆ มีเสียงหนึ่งดังก้องขึ้นในหัวของฉัน มันชัดเจนว่า ฉันจะแสดงให้เธอเห็นว่าฉันอ่อนแอมากเพียงใด เพื่อพระบิดาของฉันจะแสดงให้เธอเห็นว่าพระองค์แข็งแรงมากเพียงใด
ราวกับว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ประทานคำพูดเหล่านี้เพื่อให้ฉันพูดกับตัวเองและนำความคิดของฉันออกจากคำถามวังวนเหล่านั้น และฉันได้ยึดเสียงนั้นเพื่อช่วยฉันจากคลื่นแห่งความกังวลที่ซัดเข้ามาลูกแล้วลูกเล่า
การยึดเสียงของพระวิญญาณทำให้ฉันตระหนักว่าพระเจ้าคือผู้เดียวที่เข้าใจฉันอย่างแท้จริงในความทุกข์ที่ฉันเผชิญ พระองค์คือผู้เดียวที่ช่วยฉันออกจากสิ่งเหล่านั้นด้วยวิธีการของพระองค์ ฉันยอมจำนนต่อพระประสงค์ของพระองค์ อธิษฐานต่อพระองค์ให้ความอ่อนแอของฉันถวายเกียรติแด่พระองค์ ถึงแม้ว่าฉันไม่รู้ว่ามันจะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร
ในคืนนั้น สันติสุขที่เกินความเข้าใจได้เติมเต็มฉัน และเป็นครั้งแรกในอาทิตย์นั้นที่ฉันได้พักผ่อนอย่างเต็มที่
พระเจ้าสามารถใช้ความอ่อนแอของเราเพื่อให้เกิดผลดี
อย่างไรก็ตาม ฉันไม่เข้าใจพระประสงค์ของพระเจ้าในเรื่องความเจ็บปวดของฉันจนสองเดือนต่อมา ในค่ายโบสถ์ของฉันที่จัดขึ้นในช่วงอีสเตอร์เพื่อนักศึกษามหาวิทยาลัย ค่ายนี้ใช้พระธรรม 2 โครินธ์ 4:7-10 เป็นพระคัมภีร์หลักสำหรับค่าย
แต่ว่าเรามีของล้ำค่านี้อยู่ในภาชนะดิน เพื่อให้เห็นว่า ฤทธิ์เดชอันเลิศนั้นเป็นของพระเจ้า ไม่ได้มาจากตัวเราเอง เราเผชิญความยากลำบากรอบด้าน แต่ก็ไม่ถูกบดขยี้ เราสับสนแต่ก็ไม่หมดหวัง เราถูกข่มเหงแต่ก็ไม่ถูกทอดทิ้ง เราถูกตีให้ล้มลง แต่ก็ไม่ถูกทำลาย เราแบกความตายของพระเยซูไว้ในร่างกายเสมอ เพื่อว่าชีวิตของพระเยซูจะปรากฏในร่างกายของเราด้วย
และเป็นธรรมเนียมที่ในคืนสุดท้าย จะมีนักศึกษาจำนวนมากเลือกที่จะไม่นอนทั้งคืนเพื่อพูดคุยกับคนอื่นๆ และภายใต้หัวข้อค่ายและข้อพระคัมภีร์ ฉันจึงแบ่งปันเรื่องราวของฉันกับเพื่อนเกี่ยวกับการต่อสู้กับความวิตกกังวลต่อการจากกันและการพบสันติสุขในพระเจ้าของฉัน
ในขณะที่ฉันแบ่งปัน เพื่อนคนหนึ่งของฉันเริ่มร้องไห้ เธอยอมรับว่าเธอรู้สึกว่าเธอไม่ดีพอในสายตาของพระเจ้า เธออยากมีประสบการณ์ได้พบพระเจ้าเหมือนที่ฉันได้พบ และเธอสงสัยว่าหากถึงที่สุดแล้วพระเจ้าจะไม่สนใจใยดีในตัวเธอหรือไม่
เรื่องนี้ทำให้ใจของฉันแตกสลาย
แน่นอนว่าคำที่พระวิญญาณบอกฉันนั้นยังคงทรงพลังเหมือนตอนที่ได้ยินในช่วงเวลาที่ความหวาดกลัวจู่โจมฉัน ฉันรู้สึกว่าจะต้องบอกเธอว่าเธอเป็นที่รักของพระเจ้ามากเพียงใด พระองค์ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์เพื่ออำนาจแห่งความกลัวและความบาปจะไม่สามารถยึดเราไว้ได้ และจะไม่ทอดทิ้งเมื่อชีวิตของเราแตกสลายไม่มีชิ้นดี ความจริงคือ เราทั้งหลายไม่ดีพอ
เราไม่สามารถผ่านสมรภูมิชีวิตนี้ไปด้วยการต่อสู้กับความมืดมนและแก้ไขปัญหาชีวิตที่แตกสลายของเราเพียงลำพัง
นั่นคือเหตุผลที่เราต้องการพระคริสต์
บทใหม่
หลายเดือนต่อมา ฉันได้พบเพื่อนคนนั้นของฉันอีกครั้งในวันขอบคุณพระเจ้า เธอเล่าให้ฟังว่าเธอยังคงยึดมั่นในคำอธิษฐานนั้นและคำอธิษฐานนั้นส่งผลต่อความคิดจิตใจของเธออย่างไร เธอแบ่งปันต่ออีกว่าพระเจ้าทรงสำแดงพระองค์เองแก่ชีวิตเธออย่างไร ฉันตระหนักแล้วว่าการได้พบพระองค์ในความอ่อนแอของฉัน ทำให้ฉันเข้าใจความสงสัยในพระเจ้าของเพื่อน ดังนั้นฉันจึงสามารถช่วยเธอในแบบที่ทำให้เรามั่นใจในความรักของพระเจ้าที่มีต่อเรา
ฉันรู้ว่ามันอาจจะไม่ได้ฟังดูยิ่งใหญ่ แต่มันคือบทเรียนบทใหม่ในการเดินทางของฉันกับพระเจ้า ฉันยังคงต่อสู้กับความวิตกกังวลต่อการจากกัน มันอาจไม่ได้หายไปอย่างอัศจรรย์ แต่เมื่อฉันได้พบเหตุผลที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความอ่อนแอของฉัน ทำให้มุมมองของฉันต่อความทุกข์ยากนี้เปลี่ยนไป
ฉันเคยคิดว่าการหาเหตุผลให้กับความเจ็บปวดจะทำให้ความเจ็บปวดนั้นน้อยลง แต่การหาเหตุผลกลับนำฉันไปสู่การตั้งคำถามกับพระเจ้าและโทษพระองค์ทั้งๆ ที่มันไม่จำเป็น อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ฉันสามารถมองความเจ็บปวดด้วยความมั่นใจว่ามันไม่มีอำนาจเหนือฉันเพราะพระประสงค์ของพระเจ้าในความเจ็บปวดได้มอบชัยชนะให้แก่ฉัน
ด้วยเหตุนี้ ฉันจึงกลับมาเชื่อมั่นในความรักอันสัตย์ซื่อของพระเจ้า โดยไม่คำนึงถึงพายุและความไม่แน่นอน ฉันรู้ว่าพระองค์จะไม่ปล่อยให้เราต่อสู้ด้วยตัวเราเอง
YOU MAY ALSO LIKE
ทำไมฉันจึงเลือกที่จะเป็นโสดในฤดูกาลนี้
WRITER: เขลลี่ เพิร์ล ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI TRANSLATOR: อธิษฐาน ดวงคำ EDITOR: Mustard Seed Team คำตอบมาตรฐานที่ฉันมีเตรียมไว้เสมอเมื่อไหร่ก็ตามที่มีคนถามเกี่ยวกับสถานะโสดของฉัน นั่นก็คือ ฉันยังไม่เจอคนที่ใช่ ซึ่งมันเป็นความจริงแค่บางส่วน...
5 คำลวงเกี่ยวกับตัวเองที่คุณควรเลิกเชื่อ
WRITER: YMI ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI TRANSLATOR: เฮจี คิม EDITOR: พาทินธิดา เจริญสวัสดิ์บ่อยครั้งที่เราหมกหมุ่นอยู่กับสิ่งที่โลกบอกว่าสำคัญ กระทั่งออกห่างจากตัวตนที่พระเจ้าบอกว่าเราเป็น ดังนั้น...
5 วิธีเติมพลังเมื่อคุณรู้สึกหมดแรง
WRITER: YMI ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI TRANSLATOR: สรสิทธิ์ ธัมมารักขิตานนท์EDITOR: ฟูโยะ คุณเคยรู้สึกหมดแรงบ้างไหม? เหมือนชีวิตที่ถูกถาโถมอย่างมากมายและไม่มีเรี่ยวแรงที่ทำอะไรเลย? มีบ้างไหมวันที่แม้แต่การแปรงฟันก่อนเข้านอนยังเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความพยายาม?...