WRITER: เดบร้า ไอยีส ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI
TRANSLATOR/EDITOR: ทิพย์สุพร ชาน
เทศกาลคริสต์มาสกลับมาอีกครั้ง ช่วงเวลาแห่งความสุข การส่งความปรารถนาดีและกำลังใจให้แก่ผู้อื่น มันคือเวลาสำหรับครอบครัวและเพื่อนๆ อีกทั้งยังเป็นเวลาที่จะสะท้อนให้เห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดในปีที่ผ่านมา
สำหรับเราทั้งหลายที่เป็นคริสเตียนและผู้เชื่อแล้ว มันคือเวลาแห่งการระลึกถึงของขวัญอันล้ำค่าที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่เรา พระผู้ช่วยให้รอดของเราทั้งหลายคือพระเยซูคริสต์ที่ทรงมาบังเกิดในเมืองดาวิด (ลูกา 2:11-12) และเมื่อพระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์เองให้แก่เรา โดยการที่พระองค์ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ให้แก่เราทั้งหลาย เราจึงสำแดงความรักของเราให้แก่ครอบครัวและเพื่อนๆ ผ่านการให้ของขวัญในช่วงเทศกาลนี้
ผมเติบโตขึ้นในชุมชนเล็กๆ แห่งหนึ่งทางตอนเหนือของประเทศไนจีเรีย เรามีประเพณีในการเตรียม
อาหารอร่อยๆ เพื่องานเฉลิมฉลองในเทศกาลนี้ เช่น ขนมขบเคี้ยวทอดกรอบที่รู้จักในชื่อ ชิน–ชิน(chin-chin) เค้ก โดนัท พายเนื้อ ไก่ทอด เนื้อวัวและอาหารอื่นๆ ที่จะนำมารับประทานร่วมกันในช่วงเทศกาลคริสต์มาส เพื่อสำแดงความรักของพระเจ้า เราทุกคนจะตื่นขึ้นมาในตอนเช้าตรู่เพื่อหุงข้าวหรือทำอาหารจานอื่นๆ จากนั้นเราก็จะนำอาหารที่เพิ่งทำเสร็จร้อนๆ ไปแจกจ่ายตามบ้านของเพื่อนบ้านและเพื่อนๆ ของเราผู้ที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน ในทางกลับกันพวกเค้าเองก็ได้แบ่งปันอาหารกลับมาให้เราเมื่อเขามีเทศกาลเฉลิมฉลองประจำศาสนาของเขาด้วยเช่นกัน
แต่จะมีสักกี่คนในหมู่พวกเราที่จะแบ่งปันน้ำใจนี้ไปให้กับคนแปลกหน้าที่เราไม่รู้จัก? แล้วทำไมจะเป็นไปไม่ได้ล่ะ คริสต์มาสนี้ก็เช่นกัน เราอาจจะลองตั้งใจและพยายามที่จะสำแดงความรักให้กับคนแปลกหน้าที่เราไม่รู้จัก แน่นอนว่ามีหลายวิธีด้วยกัน แต่นี่คือของขวัญ 5 อย่างที่ผมคิดว่ามันช่วยให้เราเริ่มต้นที่จะทำได้
1. ของขวัญจากพระคุณ
ในฐานะที่เป็นคริสเตียน เราถูกเรียกให้เป็นคนที่มีน้ำใจเสมอๆ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลคริสต์มาส เพราะเป็นฤดูกาลที่เราระลึกถึงการบังเกิดของพระเยซู ซึ่งเป็นของขวัญที่ดีที่สุดสำหรับเราจากพระเจ้า(เอเฟซัส 2:8)
ดังนั้น ให้เราพยายามที่จะฝึกฝนที่จะเป็นผู้ที่สำแดงพระคุณของพระเจ้า และอาจจะอดทนกับเพื่อนที่ชอบพูดแทรกเรา หักห้ามลิ้นหรือคำพูดของเราและเลือกที่จะตอบโต้ด้วยคำพูดที่อ่อนหวาน และมีเมตตาต่อผู้ที่แซงคิวเราในซุปเปอร์มาร์เก็ต หรือขับรถตัดหน้าเราบนท้องถนนปล่อยให้เขาทำไปและก็ปล่อยให้ความขุ่นข้องหมองใจที่เรามีต่อคนที่ทำให้เราไม่พอใจนั้นออกไปด้วย อย่าเก็บมาเป็นอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นจากที่ทำงาน ในที่สาธารณะ หรือจากการประชุม ให้เรายกโทษให้แก่พวกเขาโดยเร็ว
2. ของขวัญจากการให้
บางคนในพวกเราที่นี่อาจจะเคยบริจาคให้กับการกุศลหรือบริจาคสิ่งของให้แก่ผู้ด้อยโอกาสมาก่อน แต่ถ้าเราได้มีโอกาสไปเยี่ยมเด็กๆ ที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าหรือคุณตาคุณยายที่บ้านพักคนชราล่ะ?
มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในพันธ์กิจสงเคราะห์ในคริสตจักรของคุณ บริจาคผ้าห่มหรืออาหารให้แก่ผู้ที่ยากไร้ อยากให้เราระลึกถึงพระเยซูคริสต์ที่ทรงห่วงใยและเลี้ยงคน 5,000 คน ที่มาชุมนุมกัน(มาระโก 6:30-34)
3. ของขวัญจากคำอธิษฐาน
ในพระคัมภีร์บอกให้เราอธิษฐานเผื่อซึ่งกันและกันและ “คำอธิษฐานของผู้ชอบธรรมนั้นมีพลังทำให้เกิดผล”(ยากอบ 5:16) บางครั้งเราพยายามที่จะมอบคำพูดหนุนใจหรือของขวัญให้แก่ผู้อื่น แต่มันกลับจบลงด้วยการถูกปฏิเสธ ในกรณีแบบนี้เรายังคงสามารถอธิษฐานเผื่อคนๆ นั้นได้
อธิษฐานเผื่อหัวใจจองผู้ที่ยังไม่ได้ยินข่าวประเสริฐเรื่องการช่วยให้รอด อธิษฐานเผื่อผู้ที่ร้องไห้อยู่ข้างถนนในขณะที่เรากำลังเดินทางกลับบ้าน อธิษฐานเผื่อลุงของแฟนเพื่อนที่เราเคยได้ยินเกี่ยวกับเขาแต่ยังไม่เคยเจอกัน ให้เราอธิษฐานเผื่อผู้นำของเราเพื่อสันติสุขของประเทศของเรา
4. ของขวัญจากการรับใช้
ขณะที่เราสามารถสำแดงความรักให้แก่คนแปลกหน้า โดยการให้ของขวัญและให้เงิน เราสามารถสำแดงความรักของเราได้โดยการรับใช้ผู้อื่น มีข้อพระคัมภีร์ที่หนุนใจเราอยู่หลายตอนด้วยกันเกี่ยวกับการรับใช้ผู้อื่น(ฟีลิปปี 2:5-7, 2 โครินธ์ 4:5, มาระโก 9:35, กาลาเทีย 5:13) เพราะว่าบุตรมนุษย์ไม่ได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่มาเพื่อจะปรนนิบัติคนอื่น(มาระโก 10:45)
การที่เราจะรับใช้คนแปลกหน้าได้นั้นทำได้หลายวิธี มันอาจจะเป็นวิธีง่ายๆ อย่างเช่น ช่วยผู้หญิงสูงอายุข้ามถนน หยุดรถเพื่อช่วยเปลี่ยนยางให้กับรถอีกคัน หรืออาสาไปส่งคนที่กลับบ้านทางเดียวกัน มันอาจจะเป็นการรับใช้ร่วมกับคริสตจักรของเราหรือกลุ่มเพื่อนในการบริจาคอาหารหรือเสื้อผ้าอุ่นๆ สำหรับผู้คนเร่ร่อนตามถนน
5. ของขวัญจากเวลา
เราทุกคนต่างก็รู้ว่าเวลานั้นเป็นสิ่งที่มีค่า เมื่อมันผ่านไปแล้ว เราไม่สามารถย้อนเวลากลับได้ ประกอบกับรายการความรับผิดชอบของเรา ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครเลยที่จะพอมีเวลาว่างที่จะให้แก่ผู้อื่น ดังนั้นการให้เวลาจึงเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุดที่เราจะสามารถสำแดงความรักให้กับผู้อื่น
มันอาจจะต้องใช้เวลาและความพยายามในการที่จะทำความรู้จักเพื่อนบ้านในช่วงเทศกาลคริสต์มาส ใช้เวลารับประทานอาหารร่วมกันกับกลุ่มนักเรียนที่เราได้พบเจอในรั้วมหาวิทยาลัย หรือใช้เวลากับเพื่อนร่วมงานจากแผนกอื่นๆ หรือเชิญคนที่เราไม่ได้สนิทมากแต่เรารู้ว่าเขาไม่มีครอบครัวที่จะฉลองคริสต์มาสด้วยนั้นมาฉลองกับเราที่บ้าน เราอาจจะเป็นผู้ฟังที่ดีให้กับแม่ที่กำลังว้าวุ่นใจเกี่ยวกับการจับจ่ายสินค้าในซุปเปอร์มาร์เก็ต หรือให้ใครซักคนยืมไหล่เพื่อซบเวลาร้องไห้
พระเยซูคริสต์ทรงใช้เวลาเพื่อเยี่ยมเยียนผู้ที่ถูกเกลียดชังโดยผู้นำทางศาสนาในช่วงเวลานั้น พระองค์ทรงเลี้ยงผู้ที่หิวโหยและทรงรักษาคนป่วยให้หายโรค และโศกเศร้ากับผู้ที่โศกเศร้า พระองค์ทรงอธิษฐานเผื่อสหายทั้งหลายของพระองค์, เผื่อศัตรู และคนเหล่านั้นที่พระองค์ทรงรู้ว่าคงจะไม่มีโอกาสได้พบอีกในระหว่างที่พระองค์ทรงมีชีวิตอยู่บนโลกนี้
ในช่วงเทศกาลคริสต์มาสนี้ เราได้พบความสุขจากการเริ่มพูดคุยกับคนแปลกหน้า บางครั้งผมได้ใช้โอกาสในนี้แบ่งปันเหตุผลที่แท้จริงที่เราฉลองเทศกาลคริสต์มาส ผมและเพื่อนๆ ที่โบสถ์รวมตัวกันไปเยี่ยมผู้สูงอายุที่พิการ เพื่อร้องเพลงคริสต์มาสให้พวกเขา
สำหรับผมแล้ว คริสต์มาสเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่เราจะเดินตามรอยเท้าของพระเยซู ขอบพระคุณพระผู้ช่วยให้รอดของเราที่เสด็จลงมาบนโลกที่ไม่รู้จักพระองค์ด้วยถ่อมใจ(ยอห์น 17:25-26) เพื่อเปลี่ยนให้คนแปลกหน้ากลายเป็นเพื่อนของพระองค์ และนำให้ผู้หลงหายได้กลับคืนดีกลับพระองค์
YOU MAY ALSO LIKE
กังวลจนไม่หลับไม่นอน
WRITER: Mustard Seed TeamEDITOR: Mustard Seed Team ฉันนอนไม่หลับทั้งคืน บางคืนเราก็มีอาการนอนไม่หลับ หลับๆ ตื่นๆ พอเช้าตื่นมาก็ไม่สดชื่น อารมณ์ไม่ดี การนอนไม่หลับส่งผลกระทบต่อคนส่วนใหญ่เป็นครั้งคราว แต่สําหรับบางคนอาจเจอปัญหานี้เป็นประจำ...
ทำไมเราถึงไม่กล้าปฏิเสธ
WRITER: ซาร่า โซ ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: สุมิตรา ชามรามดาบานEDITOR: ปวีณา นิลบุตร “ถ้าใช่ก็จงบอกว่าใช่ ถ้าไม่ใช่ก็จงบอกว่าไม่ใช่” (ยากอบ 5:12) ขณะที่ฉันเขียนข้อความนี้ ฉันเพิ่งจะพูดว่า "ไม่" ที่จะฟังความขัดข้องใจของแม่เรื่องคนสนิทในครอบครัว...
พระเจ้าช่วยฉันผ่านประสบการณ์เลวร้าย (ถูกล่วงละเมิดทางเพศ)
WRITER: แคทเธอรีน ฟลินน์ ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: Mustard Seed TeamEDITOR: Mustard Seed Team ในปี 2003 ฉันอายุ 24 ปี และอาศัยอยู่ในประเทศอังกฤษตอนที่ฉันถูกล่วงละเมิดทางเพศโดยเพื่อนร่วมห้องของฉัน...