fbpx
WRITER: โจแอนนา ฮอร์ ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI
TRANSLATOR: อธิษฐาน ดวงคำ
EDITOR: Mustard Seed

ณ ตอนนี้ ฉันควรที่จะมีความสุขกับการได้แต่งงานกับคนที่ฉันรักและมีลูกน่ารักๆ ด้วยกันสักสองคน ชื่อเซดดริกกับเคเลบ(ถ้าฉันได้ลูกผู้ชาย) ฉันคงได้ทำงานพาร์ทไทม์และเขียนบทความการเลี้ยงลูกในเว็บไซต์คริสเตียนต่างๆ เกี่ยวกับวิธีการเลี้ยงลูกยังไงให้ยำเกรงพระเจ้า

อย่างน้อยนั้นเป็นสิ่งที่ฉันนึกภาพอนาคตในอุดมคติของฉันเมื่อ 10 ปีที่แล้ว

แต่ในความเป็นจริง ณ ตอนนี้ มันไม่มีอะไรต่างไปจากที่ฉันจินตนาการไว้ได้มากกว่านี้อีกแล้ว นั้นก็คือฉันยังไม่มีสามี(ซึ่งแปลว่าฉันยังไม่มีลูก) กิจวัตรประจำวันของฉันไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก นอกจากการที่ฉันต้องไปทำงานแทนการไปโรงเรียน และเขียนบทความการเป็นโสดแทนที่จะเขียนบทความเรื่องการเลี้ยงลูก บางทีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตฉันก็คือคุณพ่อของฉันไม่ได้อยู่กับฉันแล้ว นอกจากนั้นเพื่อนๆ ส่วนใหญ่ก็ได้แต่งงานกันหมดและส่วนมากพวกเขาก็มีลูกแล้ว

ตอนนี้ฉันก็อายุ 30 กว่าๆ และมีความเป็นไปได้ที่ฉันอาจจะเป็นโสดตลอดไป และชีวิตฉันจะยังคงอยู่ในสภาพเดิม

แน่นอนว่าฉันพยายามทำทุกอย่าง อย่างเช่น “ออกไปพบปะผู้คนใหม่ๆ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีประมาณ 7 คนที่ฉันได้เจอ ซึ่งบางคนก็ไม่ใช่ผู้ชายในสเปคของฉัน บางคนก็น่าสนใจและฉันอยากจะทำความรู้จักกับเขามากขึ้นแต่เขาไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกับฉัน แม้ฉันหวังว่าจะได้พบกับ คนที่ใช่ แต่ ณ เวลานี้ ฉันไม่สามารถบอกได้ว่าฉันรู้สึกเสียใจกับการตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ถ้าไม่ใช่เพื่อสิ่งใด ฉันซาบซึ้งว่าทุกๆ ประสบการณ์นั้นได้สอนอะไรฉันมากมายเกี่ยวกับตัวฉัน และในส่วนที่พระเจ้าต้องการให้ฉันปรับเปลี่ยน

ในภาพที่กว้างขึ้น การเดินทางในช่วงเวลาแห่งความโสดนั้นได้สอน 3 สิ่งสำคัญเกี่ยวกับการจัดเตรียมของพระเจ้า และจุดประสงค์ของพระองค์ในชีวิตของฉัน

1. พระเจ้าทรงจัดเตรียมคนรอบๆ ข้างเราเสมอ

สิ่งที่ดูเหมือนจะเลวร้ายที่สุดในชีวิตของเพื่อนๆ ที่เป็นโสดของฉัน ก็คือความเหงา เนื่องจากว่าไม่มีใครสักคนที่จะใช้ชีวิตอยู่เคียงข้างกับพวกเขา และประกอบกับความจริงที่ว่ากลุ่มเพื่อนของพวกเขาดูเหมือนจะน้อยลงเมื่ออายุมากขึ้น โดยเฉพาะหลังจากที่พวกเพื่อนๆ แต่งงานและมีลูกกัน

ในหนังสือ Spiritual Friendship เขียนโดย เวสลีย์ ฮิลล์ อธิบายเกี่ยวกับปรากฏการณ์นี้ว่า “ถ้าต้องเลือกระหว่างกลับบ้านเพื่อใช้เวลากับครอบครัว(ไม่ว่าจะเป็นกับคู่สมรสหรือพ่อแม่) กับใช้เวลากับเพื่อน มันก็ค่อนข้างชัดเจนว่า ตัวเลือกที่สำคัญคือ ต้องเสียสละเวลาที่จะใช้กับเพื่อน เพราะเราไม่กล้าแม้แต่จะคิดว่าจะทำให้เวลาที่จะได้ใช้กับครอบครัวนั้นเสียไป”

ในขณะที่ฉันเห็นด้วยกับคำอธิบายเหล่านี้ ฉันพบว่าฉันได้คำนึงถึงมิตรภาพกับเพื่อนเท่านั้น แต่ถ้าเราไม่ลองเสี่ยงดู และเปิดกว้างให้กับแวดวงสังคมและชุมชนขนาดใหญ่ เช่น ผู้คนที่ต้องผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากในชีวิตอย่างเช่น นักเรียน กลุ่มเพื่อนที่เป็นโสดเหมือนกัน กลุ่มวัยกลางคนที่ลูกๆ โตกันหมดแล้ว

ถ้าพระเจ้ามีพระประสงค์ให้เราเดินทางไปกับกลุ่มคนที่หลากหลายในแต่ละฤดูกาลที่แตกต่างกันของชีวิต แทนที่เราจะเดินทางแค่คนเดียวหรือเฉพาะแค่กลุ่มเพื่อนของเรา?

หลักฐานสำคัญที่บ่งบอกว่าเราเป็นสาวกของพระคริสต์คือ การที่เราปฏิเสธตนเอง แบกกางเขนของพระองค์ และติดตามพระองค์ไป(มัทธิว 16:24-26) เราถูกเรียกให้ดำเนินชีวิตอย่างเสียสละ ถือว่าคนอื่นดีกว่าตนด้วยใจถ่อม ไม่เห็นแก่ประโยชน์ของตนเอง แต่เห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่น(ฟีลิปปี 2:1-4) ความรักของพระเจ้าทำให้เราสามารถรักคนอื่นได้(1 ยอห์น 4:7) หากเราทุกคนดำเนินชีวิตตามความจริงในข้อนี้ เราก็ไม่จำเป็นต้องกังวลถึงความต้องการของเราเองเลย

หากมีสิ่งหนึ่งที่ฉันสามารถบอกได้อย่างมั่นใจ นั่นก็คือพระเจ้าไม่เคยหวงในการที่จะประทานคนรอบๆ ข้างให้กับฉัน ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน ที่โบสถ์ ที่ทำงาน หรือที่อื่นๆ ฉันไม่เคยต้องรู้สึกโดดเดี่ยว เมื่อฉันเดินทางผ่านช่วงชีวิตที่มีทั้งขาขึ้นและขาลง ถึงแม้ว่าพ่อของฉันจะเสียชีวิตอย่างไม่คาดคิดเมื่อ 6 ปีก่อน ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ได้สนิทกับเพื่อนที่โตมาด้วยกันเหมือนสมัยก่อน แต่ช่วงหลายปีที่ผ่านมา ฉันได้เห็นว่าพระเจ้านำเพื่อนๆ เข้ามาในชีวิตของฉัน พวกเขาได้ทำให้ฉันเห็นถึงความรักในหลากหลายรูปแบบผ่านการรับใช้ การให้กำลังใจและความรัก บางคนก็ทำให้ฉันได้มีประสบการณ์ที่ฉันไม่เคยได้รับ เมื่อปีที่ผ่านมาฉันถูกขอให้เป็นแม่บุญธรรมของเด็กทารกอายุ 16 เดือน ซึ่งฉันชื่นชอบและตื่นเต้นเป็นอย่างมาก

ความสัมพันธ์นี้ได้ทำให้ฉันได้เห็นเสี้ยวส่วนหนึ่งของความสมบูรณ์ของพระกายของพระคริสต์ และได้สัมผัสว่าสวรรค์นั้นจะเป็นอย่างไร สวรรค์เป็นที่ซึ่งไม่มีการแต่งงาน ไม่มีความสัมพันธ์พิเศษที่ต้องผูกติดกับคนใดคนหนึ่ง(มัทธิว22:30) หากแต่เป็นหนึ่งเดียวกันในพระกายของพระคริสต์ ซึ่งประกอบด้วยคนแต่ละคนที่แตกต่างกันและมีของประทานต่างๆ กันไป

2. พระเจ้าให้ฉันได้อยู่ในที่ที่ไม่เหมือนใครเพื่อที่จะช่วยเหลือผู้อื่น

ถ้าไม่ได้คำนึงถึงสถานภาพใดๆ สิ่งหนึ่งที่ฉันมั่นใจว่าคุณคงจะเห็นด้วยกับคำว่า ชีวิตนั้นยากเหลือเกิน

ไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อนที่เป็นโสดของฉันได้เล่าถึงประสบการณ์ที่เธอร้องไห้มากกว่าหนึ่งชั่วโมงในคืนก่อน เพราะเต็มไปด้วยความรู้สึกโดดเดี่ยว หลังจากนั้นไม่กี่วันฉันเอามือโอบไหล่ของเพื่อนอีกคน ขณะที่เธอสะอึกสะอื้นอยู่กับความจริงที่ว่าแฟนของเธอต้องการที่จะเลิกกับเธอ เพื่อนอีกคนของฉันได้แบ่งปันเรื่องราวผ่านทางเมสเสจว่าเธอโศกเศร้าเสียใจและเหนื่อยล้ากับการดูแลพ่อที่ป่วยอยู่ที่บ้าน ส่วนเพื่อนอีกคนขอให้ฉันช่วยอธิฐานเผื่อลูกชายทั้งสองคนของเธอที่ป่วยอยู่ตลอดๆ และล่าสุดฉันได้ไปนั่งกินข้าวกับเพื่อนสองคนซึ่งแต่ละคนมีปัญหาที่แตกต่างกัน เพื่อนฉันคนหนึ่งพยายามที่จะมีลูกและกำลังดำเนินการเรื่องการทำเด็กหลอดแก้ว ส่วนเพื่อนฉันอีกคนพึ่งจัดการปัญหาเรื่องหย่าร้างเสร็จ

การได้อยู่เป็นโสดและมีพร้อม(ทั้งเวลาและสิ่งต่างๆ) ทำให้ฉันได้ใช้เวลาอยู่กับชุนชมที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ในชีวิตของฉัน(1 โครินธ์ 12: 26-27) หลายคนๆ ได้สำแดงถึงความรักและการสถิตอยู่ของพระเจ้าต่อฉัน

ดังที่ฮิลล์เขียนไว้ในหนังสืออีกบทหนึ่งของเขา “มิตรภาพคือการรับเอาความเจ็บปวดด้วยความสมัครใจ และเพื่อพวกเขาโดยอาศัยความสัมพันธ์ของเรากับพระคริสต์”

และแน่นอนที่สุด มิตรภาพอยู่โดยปราศจากความชื่นชมยินดีไม่ได้ ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาคือวันเกิดของฉัน ฉันได้รับช่อดอกไม้จากเพื่อนคนหนึ่งที่พึ่งรู้จักกัน ซึ่งเราเคยกินข้าวกันแค่ครั้งเดียวเมื่อหลายปีก่อนไม่นานหลังจากนั้นเธอเลิกกับแฟนหนุ่ม และในการ์ดเขียนไว้ว่า “ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันในช่วงเวลาที่ฉันรู้สึกแย่มากๆคำหนุนใจและคำอธิษฐานคือสิ่งที่ฉันต้องการมากที่สุดในตอนนั้น.เมื่อต้นปีเธอได้แต่งงานกับคนที่เธอพบหลังจากที่เธอเลิกลากับคนเก่า และล่าสุดเพื่อนอีกคนของฉันที่เป็นโสดอยู่นั้น ส่งข้อความมาหาฉันหลังจากที่เรากินอาหารเย็นด้วยกันเสร็จว่า พระเจ้าใช้คุณเพื่อที่จะพูดกับฉันในวิธีที่แสนพิเศษและฉันขอบคุณพระเจ้าเสมอสำหรับคุณ

 

จากการใช้ชีวิตกับเพื่อนๆ ฉันชื่นชมยินดีกับพวกเขาและโศกเศร้าไปกับพวกเขา ฉันสามารถที่จะใช้ชีวิตตามพระประสงค์ของพระเจ้าในการเป็นส่วนหนึ่งของพระกายของพระคริสต์ และทำให้ฉันได้เห็นความยากลำบากของชีวิตจริงรอบๆ ตัวฉัน ซึ่งช่วยฉันปรับมุมมองของชีวิต

3. พระเจ้าทำให้ฉันเป็นคนที่สมบูรณ์แล้วในพระคริสต์

บางทีบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ฤดูกาลแห่งความโสดได้สอนฉันคือ ฉันเป็นคนที่สมบูรณ์แล้วและฉันมีทุกอย่างที่ฉันต้องการโดยพระคริสต์

ในพระธรรม โคโลสีกล่าวว่า “เพราะว่าความเป็นพระเจ้าที่ครบบริบูรณ์ทั้งสิ้นดำรงอยู่ในพระกายของพระองค์ และพวกท่านได้รับความครบบริบูรณ์ในพระองค์ ผู้ทรงเป็นศีรษะเหนือภูตผีที่ครอบครองและภูตผีที่มีอำนาจทั้งหมด” เมื่อย้อนกลับไป ชาวเมืองโคโลสีถูกทำให้เข้าใจผิดโดยคำสอนผิดๆ ว่าพวกเขาต้องหันไปหาบางสิ่งหรือบางคนที่จะ “ทำให้เขาสมบูรณ์ เพื่อจิตวิญญาณของพวกเขาจะเป็นสุข แต่ในบางครั้ง แม้ในคริสตจักรพูดถึงการแต่งงานว่าเป็นจุดที่มนุษย์ต้องการมากที่สุด และเราไม่สามารถมีประสบกาณ์อย่างเต็มเปี่ยมหรือเข้าใจความรักของพระคริสต์นอกจากว่าเราจะได้แต่งงาน

สิ่งนี้มีความหมายอย่างไรกับฉัน แท้จริงในพระคริสต์นั้นฉันไม่ขาดสิ่งใดๆ เลย แม้ว่าช่วงเวลาแห่งความเหงาสุดหัวใจจะมาถึงฉันในสักวัน แต่ความจริงยังคงอยู่และไม่มีวันเปลี่ยนแปลง และจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้คนโสดหลายๆ คน(รวมถึงตัวฉัน) มีความมั่นใจและสันติสุขในการดำเนินชีวิตด้วยความกล้าหาญและความหวังใจ  

การที่ฉันสูญเสียคุณพ่อไปเมื่อหลายปีก่อน ช่วยให้ฉันเข้าใจชัดเจนว่าการเป็นโสดหรือการอยู่คนเดียวเป็นสิ่งที่เราทุกคนจะต้องพบเจอในสักวัน แม้แต่คนที่มีคู่ ระยะเวลาและฤดูกาลที่พวกเขาอยู่ด้วยกันนั้นต่างมีจำกัด และไม่ควรใช้มันอย่างละเลย ฉะนั้นเป็นการดีสำหรับพวกเราที่จะปลูกฝังความสัมพันธ์ของเรากับพระเยซู เพราะพระองค์จะไม่มีวันจากเราหรือทอดทิ้งเรา สำหรับตัวฉันเองนี่หมายถึงการเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตด้วยตัวเอง และใช้เวลาในการดื่มด่ำกับพระคำของพระเจ้าและพักสงบในการทรงสถิตของพระองค์

ในขณะที่บางครั้ง สำหรับคนที่กำลังอยู่ในช่วงโสด อาจจะรู้สึกว่าชีวิตของเราไม่ได้เคลื่อนไปไหนเลย ขอให้พระเจ้าช่วยให้เราได้จดจ่ออยู่ที่เป้าหมายนิรันดร์ และการทรงเรียกในฐานะคริสเตียนให้ออกไปเป็นแสงสว่างและและแบ่งปันเรื่องราวของพระคริสต์แก่ชุมชนที่พระเจ้าได้ตั้งเราไว้

YOU MAY ALSO LIKE

กังวลจนไม่หลับไม่นอน

กังวลจนไม่หลับไม่นอน

WRITER: Mustard Seed TeamEDITOR: Mustard Seed Team ฉันนอนไม่หลับทั้งคืน บางคืนเราก็มีอาการนอนไม่หลับ หลับๆ ตื่นๆ พอเช้าตื่นมาก็ไม่สดชื่น อารมณ์ไม่ดี  การนอนไม่หลับส่งผลกระทบต่อคนส่วนใหญ่เป็นครั้งคราว แต่สําหรับบางคนอาจเจอปัญหานี้เป็นประจำ...

ทำไมเราถึงไม่กล้าปฏิเสธ

ทำไมเราถึงไม่กล้าปฏิเสธ

WRITER: ซาร่า โซ ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: สุมิตรา ชามรามดาบานEDITOR: ปวีณา นิลบุตร “ถ้าใช่ก็จงบอกว่าใช่ ถ้าไม่ใช่ก็จงบอกว่าไม่ใช่” (ยากอบ 5:12) ขณะที่ฉันเขียนข้อความนี้ ฉันเพิ่งจะพูดว่า "ไม่" ที่จะฟังความขัดข้องใจของแม่เรื่องคนสนิทในครอบครัว...

พระเจ้าช่วยฉันผ่านประสบการณ์เลวร้าย (ถูกล่วงละเมิดทางเพศ)

พระเจ้าช่วยฉันผ่านประสบการณ์เลวร้าย (ถูกล่วงละเมิดทางเพศ)

WRITER: แคทเธอรีน ฟลินน์ ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: Mustard Seed TeamEDITOR: Mustard Seed Team ในปี 2003 ฉันอายุ 24 ปี และอาศัยอยู่ในประเทศอังกฤษตอนที่ฉันถูกล่วงละเมิดทางเพศโดยเพื่อนร่วมห้องของฉัน...

Share This