fbpx
WRITER: แดเนียล ไรอัน เดย์ ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI
TRANSLATOR: ณัฐพร ชังเจริญ 
EDITOR: Mustard Seed Team

แดเนียลแต่งงานกับคนรักที่คบกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมปลายและเป็นคุณพ่อลูกสาม เขาเป็นผู้เขียนหนังสือที่มีชื่อว่า แล้วอะไรต่อ: งานในฝันของคุณ การทรงเรียกของพระเจ้า และชีวิตที่ปลดปล่อยคุณให้เป็นอิสระ (What’s Next: Your Dream Job, God’s Call and a Life That Sets You Free) และเป็นพิธีกรรายการวิทยุของพันธกิจมานาประจำวันที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เขาจบการศึกษาระดับปริญญาโทจากวิทยาลัยพระคริสตธรรมฟุลเลอร์ (Fuller Theological Seminary) และเป็นผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อในปัจจุบัน

หากคุณกำลังมองหาบทความที่กล่าวถึงความน่าเชื่อถือหรือความจริงของศาสนาคริสต์ นี่คงไม่ใช่สิ่งที่คุณกำลังตามหา คำถามที่ว่า “ความเชื่อของคริสเตียนเป็นความจริงไหม” คือคำถามที่เราต้องหาคำตอบ มันคุ้มค่าที่จะค้นคว้าดูแน่นอน

ความจริงก็คือผมเคยอ่านและเป็นเจ้าของหนังสือแทบทุกเล่มที่ผมสามารถหามาเพื่อพิสูจน์ความเชื่อของคริสเตียนได้ แต่หากจะให้ผมตอบตามตรง ความจริงในคริสต์ศาสนานั้นก็ยังไม่มากพอที่จะทำให้ผมตื่นเต้นในการติดตามพระเยซู มันให้ความมั่นใจแก่ผมชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้นว่าผมไม่ได้กำลังเชื่อในสิ่งที่ผิด ผมก็ยังคงอ่านหนังสือที่พิสูจน์ให้เห็นถึงหลักฐานการทรงพระชนม์อยู่ของพระเจ้า และรู้สึกงุนงงเมื่อรู้ว่ามันส่งผลกระทบอย่างไรต่อชีวิตของผม

ผมต้องการให้ความเชื่อของผมช่วยให้ผมค้นพบว่า ผมเป็นใครและผมถูกสร้างมาเพื่ออะไร ผมต้องการค้นหาความหมายและเป้าหมาย ผมต้องการเป็นที่รู้จักและได้รับการเชื้อเชิญให้เข้าสู่ความสัมพันธ์ที่แท้จริงกับผู้อื่น หรืออาจพูดได้ว่า ผมต้องการรู้ว่าการเป็นคริสเตียนนั้นดีสำหรับผมจริงๆ และผมคิดว่ามันดีจริงๆ นั่นแหละ และนี่คือเหตุผลดีๆ ที่ผมได้เรียนรู้จากการเป็นคริสเตียน

 

1. การเป็นคริสเตียนให้ความหวังเมื่อสิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปตามที่ผมหวังจะให้มันเป็น และให้สันติสุขที่จะวางใจว่าพระเจ้าทรงทราบดีว่าพระองค์กำลังทำอะไรอยู่

คุณรู้ไหมว่ามีคนจำนวนมากพยายามดิ้นรนหาคำตอบว่าพวกเขาควรทำอย่างไรกับชีวิตของตัวเอง ผมเองก็เคยเป็นแบบนั้น หลายปีก่อน ผมต้องการทำงานในองค์กรแห่งหนึ่งมากๆ ผมต้องการอาชีพใหม่ มันมีตำแหน่งว่างอยู่พอดีและผมก็มั่นใจว่านี่แหละคือหมายสำคัญ ผมมั่นใจว่าพระเจ้ามีพระประสงค์ให้ผมเข้าทำงานในที่แห่งนี้แน่ๆ แต่แล้วผมกลับไม่ได้งานนั้น ผมหมดกำลังใจ ผมหงุดหงิด แต่ด้วยความที่ผมเติบโตมากับการไปโบสถ์ ผมได้ยินอยู่เสมอว่าพระเจ้าดีและสัตย์ซื่อ ผมได้ยินว่าพระองค์ทรงใช้คำว่า “ไม่” เพื่อทรงนำทางของผมสู่แผนการของพระองค์ และผมต้องการเชื่อเช่นนั้นว่าแผนการของพระองค์นั้นดีกว่าแผนการของผมเอง แม้ว่าตอนนั้นผมจะสงสัยอยู่ไม่น้อย แต่ไม่กี่ปีถัดมาผมก็เข้าใจ

ปีที่แล้ว ผมได้รับข้อเสนอให้เข้าทำงานในอีกบริษัทหนึ่ง เป็นงานที่ทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นและดีใจมาก และนั่นจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากว่าผมได้รับข้อเสนอให้เข้าทำงานในที่แรก

คำว่าไม่ของพระเจ้าต่องานที่คือคำว่าใช่ต่องานที่2

บางที ชีวิตมันก็เป็นแบบนี้ แม้ว่าบางครั้งผมได้ยินแต่คำว่า “ไม่ได้” หลังจาก “ไม่ใช่” หลังจาก “ไม่” แต่ผมก็พบว่า แม้เป็นช่วงมรสุมของคำว่า “ไม่” จากพระเจ้า ผมก็สามารถจินตนาการกลับไปถึงช่วงเวลาที่พระเจ้าทรงนำคำว่า “ไม่” ที่เกิดขึ้นกับเราโดยที่เราไม่ทันได้ตั้งตัว เพื่อใช้ในการดี ผมคิดว่าพวกเราทุกคนก็คงสามารถจิตนาการถึงช่วงเวลาเหล่านั้นได้เหมือนกัน การเป็นคริสเตียนนำเรามาถึงพระเจ้าผู้ประสงค์แต่สิ่งที่ดีเพื่อลูกของพระองค์ และไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอาชีพ ความสัมพันธ์ หรือจะเป็นเรื่องอะไรก็ตามเท่าที่เราจะนึกออก เราสามารถวางใจในพระองค์ได้เสมอ แม้สิ่งต่างๆ จะไม่เป็นไปตามที่เราคาดหวังไว้ก็ตาม (สุภาษิต 16:9) มันดีมากๆ เลยล่ะ!

 

2. การเป็นคริสเตียนทำให้ผมรู้ซึ้งถึงการดิ้นรนต่อสู้และความแตกสลายของตัวเอง แต่ไม่ได้ละทิ้งให้ผมเผชิญสิ่งเหล่านี้เพียงลำพัง

เมื่อผมเห็นคำว่า “ความบาป” ผมก็รู้สึกอึดอัดและรู้สึกถึงความกดดันมากมายที่จะต้องจัดการให้เรียบร้อย ผมเติบโตมากับสภาพแวดล้อมที่ทำให้ตัวผมเองรู้สึกว่า โลกใบนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อท้าทายผู้คนให้ปรนนิบัติพระเจ้า เพื่อทำให้พระองค์พอพระทัย โดยที่เราต้องเลี่ยงที่จะทำลักษณะนิสัยบางอย่างที่เมื่อมาคิดดูแล้วก็คงจะยาวเป็นหางว่าว ผมค่อยๆ รังเกียจคำว่าความบาป เพราะมันทำให้ผมรู้สึกราวกับว่า ตัวผมนั้นได้ถูกผูกติดอยู่กับความบาปของตัวเองและการทุกข์ทนต่อสู้ นอกจากนี้ ผมยังเคยประสบช่วงเวลาที่ยากลำบากในการจิตนาการว่าพระเจ้าจะรักผมได้อย่างไร เพราะว่าผมมันก็เป็นแค่ “คนบาป” คนหนึ่ง มันไม่มีทางเลยที่ผมจะสามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้

แต่พักหลังมานี้ ผมได้รับประสบการณ์ด้านบวกของคำว่า “ความบาป” ที่เป็นอิสระต่อรายการอันยาวเหยียดของสิ่งที่ “ควร” และ “ไม่ควร” ทำตั้งแต่ผมจำความได้ ความบาปชี้วัดความแตกสลายที่ผมได้เผชิญทั้งภายในและภายนอกระหว่างที่ผมได้เดินทางเข้าสู่การตัดสินใจที่ทำลายชีวิตของตัวเองและผู้คนที่ผมรัก มันบรรยายถึงผลจากการดิ้นรนต่างๆ นานาของผม มันอธิบายว่าทำไม ในบางครั้ง ผมถึงปฏิบัติต่อคนที่ผมห่วงใยได้แย่ขนาดนั้น 

แต่การเป็นคริสเตียนไม่เพียงชี้ให้ผมเห็นถึงความแตกสลายของตัวเองเท่านั้น เพราะการเป็นคริสเตียนยังนำผมไปสู่ทางออกที่จะทำให้ผมได้รับการช่วยกู้จากความแตกสลายเหล่านี้ได้อีกด้วย

พระเจ้าไม่เพียงแต่อภัยในสิ่งที่ผมทำพลาดไป แต่จวบจนทุกวันนี้ พระองค์ยังทรงช่วยผมเลือกสิ่งที่ดีกว่าผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วย แม้กระทั่งตอนที่ผมทำตัวเหลวไหลและตัดสินใจแย่ๆ พระองค์ทรงฉุดผมขึ้นมาใหม่ ปัดเศษฝุ่นเปรอะเปื้อนออกไป ให้อภัยผมอีกครั้ง และกระซิบกับผมผ่านพระวิญญาณว่า “เรารักเจ้า เราจะพาเจ้าผ่านมันไปได้” ผมได้สัมผัสถึงความงดงามในการเป็นคริสเตียนเมื่อผมได้สัมผัสกับความดีงามของพระเจ้าผู้ทรงเห็นเราในความแตกสลายของเราเอง ทรงสงสารเรา ทรงทอดพระเนตรดูเราด้วยความเมตตาและความรัก และแทนที่จะมีพระประสงค์ให้เราทำการดีเพื่อทดแทนการชั่วที่เราทำ พระองค์กลับทรงสละพระองค์เองเพื่อช่วยกู้เรากลับคืน นี่ก็เยี่ยมไปเลย!

 

3. การเป็นคริสเตียนทำให้ผมได้พบกับพี่น้องผู้เชื่อ ผู้ซึ่งเป็นมากกว่าเพื่อนที่ทำแต่เรื่องสนุกๆ ด้วยกัน

ผมกำลังจะมีทริปสไตล์แบ็กแพ็กในอีกไม่กี่อาทิตย์ และผมก็แทบจะทนรอให้ถึงวันนั้นไม่ไหว พวกเราจะไปเดินเขา ตกปลา ใช้เวลาว่างร่วมกันรอบกองไฟ หัวเราะเฮฮา และเดินสำรวจริมทะเลสาบมิชิแกน แต่นั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของความสนุก และทริปนี้จะมีอะไรมากมายกว่าการได้เก็บเกี่ยวความทรงจำดีๆ เป็นแน่ เพื่อนอีกสองคนที่จะมาด้วยกันเปรียบได้กับพี่ชายน้องชายของผม แม้ว่าพวกเราจะรู้จักกันได้เพียง 16 เดือนโดยประมาณก็ตาม แต่จากประสบการณ์เพียงไม่กี่ครั้งที่ผมได้พูดคุยกับพวกเขานั้น ผมก็รู้เลยว่าพระเจ้าทรงกำลังทำบางสิ่งบางอย่างที่แสนจะพิเศษอยู่ ความเชื่อในพระเยซูที่พวกเราต่างก็มีเหมือนกันได้นำเราไปสู่ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นจริงจัง และผมก็ได้เป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับในรูปแบบที่ผมไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนเมื่ออยู่นอกสังคมคริสเตียน พวกเราใช้เวลาอธิษฐานร่วมกัน ดูแลกันและกัน เล่าเรื่องราวความรวดร้าวในอดีตสู่กันฟัง ยอมรับความยากลำบากที่เราได้เผชิญ และยอมเชื่อฟังแนวทางของพระเจ้า พวกเราได้มีโอกาสหนุนใจกันและกันผ่านข้อพระคัมภีร์ ท้าทายกันและกันที่จะมีท่าทีที่สัตย์ซื่อ และพวกเรามีโอกาสได้รับใช้กันและกัน ความรักที่เรามีร่วมกันในพระเยซูและประสบการณ์ที่ได้รับเมื่อเข้ามาเป็นคริสเตียนนั้น คือสิ่งที่ผูกพันเราไว้ร่วมกัน และนี่ก็ดีมากๆ !

ความเชื่อของคริสเตียนเป็นมากกว่าความจริง และนั่นเป็นสิ่งที่ดี เพราะความเชื่อนั้นได้นำพาให้เราเข้ามาถึงพระเจ้าผู้แสนดี ผู้ที่ทรงอยู่เบื้องหลังของหลักความเชื่อนี้ทั้งหมด

YOU MAY ALSO LIKE

กังวลจนไม่หลับไม่นอน

กังวลจนไม่หลับไม่นอน

WRITER: Mustard Seed TeamEDITOR: Mustard Seed Team ฉันนอนไม่หลับทั้งคืน บางคืนเราก็มีอาการนอนไม่หลับ หลับๆ ตื่นๆ พอเช้าตื่นมาก็ไม่สดชื่น อารมณ์ไม่ดี  การนอนไม่หลับส่งผลกระทบต่อคนส่วนใหญ่เป็นครั้งคราว แต่สําหรับบางคนอาจเจอปัญหานี้เป็นประจำ...

ทำไมเราถึงไม่กล้าปฏิเสธ

ทำไมเราถึงไม่กล้าปฏิเสธ

WRITER: ซาร่า โซ ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: สุมิตรา ชามรามดาบานEDITOR: ปวีณา นิลบุตร “ถ้าใช่ก็จงบอกว่าใช่ ถ้าไม่ใช่ก็จงบอกว่าไม่ใช่” (ยากอบ 5:12) ขณะที่ฉันเขียนข้อความนี้ ฉันเพิ่งจะพูดว่า "ไม่" ที่จะฟังความขัดข้องใจของแม่เรื่องคนสนิทในครอบครัว...

พระเจ้าช่วยฉันผ่านประสบการณ์เลวร้าย (ถูกล่วงละเมิดทางเพศ)

พระเจ้าช่วยฉันผ่านประสบการณ์เลวร้าย (ถูกล่วงละเมิดทางเพศ)

WRITER: แคทเธอรีน ฟลินน์ ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: Mustard Seed TeamEDITOR: Mustard Seed Team ในปี 2003 ฉันอายุ 24 ปี และอาศัยอยู่ในประเทศอังกฤษตอนที่ฉันถูกล่วงละเมิดทางเพศโดยเพื่อนร่วมห้องของฉัน...

Share This