WRITER: โจเอล ลี ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMI
TRANSLATOR/EDITOR: ทิพย์สุพร ชาน
ทุกคนต่างรักอุดมการณ์ที่ดี เราทุกคนต้องการที่จะต่อสู้เพื่อบางอย่าง ชนะการต่อสู้นั้น และชักจูงคนให้มาร่วมอุดมการณ์และตามกระแสไปกับเราด้วย เราแค่ต้องนั่งเสพสื่อโซเชี่ยลไปแค่ไม่กี่นาที ก็ไม่ยากที่จะเห็นโพสของใครสักคนบ่นหรือพูดจาโผงผางเกี่ยวกับเรื่องบางอย่างและอยากจะลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงสิ่งนั้นๆ
นักเขียนแนวคอมเมดี้ ท่านหนึ่ง ชื่อว่า เทรเวอร์ โนอาห์ ได้พูดเกี่ยวกับเว็บไซต์ทวิตเตอร์ว่า เขาได้เขียนคอมเม้นไว้ และภายใน 3 ปี คอมเม้นของเขาทำให้เกิดกระแสใน Twitter และผู้คนก็ต่างลุกขึ้นมาปกป้อง “ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ” ของความคิดเห็นของเขา ว่า “เราอยู่ในโลกของความโกรธเคือง เดี๋ยวก็แฮชแท็กนั่น แฮชแท็กนี่ และมีผู้คนมากมายที่รีบเข้ามาตามกระแสกัน โดยทั้งๆที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเทรนด์นั้นเกี่ยวข้องกับอะไร คนส่วนมากต่างต้องการที่จะเป็นผู้ร่วมอุดมการณ์ที่ดี แต่พวกเขาไม่ต้องการที่จะใส่ใจในรายละเอียดหรือข้อมูลที่อยู่ในนั้น ดังนั้นพวกเขาจึงคิดว่า ‘ถ้าอย่างนั้น ฉันแค่บอกว่าฉันเห็นด้วยก็แล้วกัน’ เพราะอย่างนั้น ในโลกออนไลน์จึงมีผู้ที่ตามกระแสมากมายที่สนับสนุนแคมเปญต่างๆโดยที่พวกเขาไม่ได้รู้ถึงรายละเอียดของกระแสนั้นจริงๆ
ดังนั้นในฐานะคริสเตียนเราควรดำเนินชีวิตตามแฮชแท็กหรือตามกระแส และแคมเปญในสื่อสังคมออนไลน์หรือไม่? เราควรเข้าร่วมใน “การต่อสู้” หรือไม่?
บางทีการหาวิธีที่ดีที่สุดในการตอบคำถามนี้คือการเริ่มถามคำถามที่ว่า : พระเจ้าทรงตรัสอะไร? จากพระคัมภีร์เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าผู้เชื่อทุกคนเป็นเกลือและแสงสว่างของโลก(มัทธิว 5:13-16) เราทั้งหลายจึงต้องดำเนินชีวิตให้มีค่าควรแก่พระเจ้า เพื่อให้โลกนี้เห็นความดีทั้งหลายของเรา และด้วยเหตุนี้การทรงไถ่ของพระเยซูคริสต์จึงมีขึ้นในเรา ให้เราทั้งหลายสรรเสริญพระองค์ แต่ “สิ่งดี” นี้หมายถึงอะไร? หมายความว่าคริสเตียนทุกคนมีหน้าที่ในการแก้ปัญหาของโลกหรือไม่? เราได้รับภารกิจในการรักษาคุณธรรมและความยุติธรรมโดยรวมของสังคมอย่างนั้นหรือ?
ในขณะที่พระคัมภีร์ไม่ได้กล่าวไว้อย่างเฉพาะเจาะจง ดังนั้นเราทั้งหลายจึงต้องสำรวจดูชีวิตขององค์พระเยซูคริสต์ในขณะที่พระองค์ทรงกระทำพันธกิจของพระองค์บนโลกนี้ และการกระทำของพระองค์อาจทำให้เราเข้าใจและกระจ่างในข้อนี้อยู่บ้าง
ยอห์น 3:16 ให้ข้อสรุปที่ดีเกี่ยวกับพันธกิจของพระเยซูคริสต์ ในขณะที่พระองค์ทรงดำเนินชีวิตอย่างมนุษย์บนแผ่นดินโลกนี้ ว่า “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลกจนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์”
พระเจ้าไม่ได้เสด็จมาบนโลกนี้ในฐานะของนักการเมืองเพื่อที่จะแก้ปัญหาทั้งหมดของโลก พระองค์ไม่ได้จะเสด็จมาเพื่อเป็นกษัตริย์ที่ชาวยิวต้องการให้ทรงปลดปล่อยอิสระภาพให้แก่พวกเขาจาก ผู้ปกครองชาวโรมัน แต่พระองค์เสด็จมา และทรงสถิตท่ามกลางเราทั้งหลายในฐานะช่างไม้ต่ำต้อย และพันธกิจของพระองค์คือการสิ้นพระชนม์เพื่อที่เราจะได้รับความรอด ทำไมเรื่องนี้ถึงสำคัญมากๆ?
นักศาสนศาตร์ ท่านหนึ่ง ชื่อ ดับบลิว เอียน โธมัส ได้บันทึกไว้ว่า : “พระเยซูคริสต์ได้ทรงปฏิเสธที่จะให้ความสำคัญต่อความต้องการของพระองค์เอง และทรงละทิ้งสิ่งที่เป็นเนื้อหนังทั้งสิ้นในความเป็นมนุษย์ พระองค์ไม่ได้จดจ่ออยู่กับสถานการณ์ทางการเมืองในปาเลสไตน์ หรือเพื่อปลดปล่อยชนชาติยิวให้เป็นไท พระองค์ไม่ได้ดำเนินชีวิตอยู่ท่ามกลางความกดดันและปัญหาทางสังคม หรือถูกชักจูงใจให้สนับสนุนการชุมนุมหรือปุกระดมในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง. . พระเยซูคริสต์ไม่ได้มุ่งมั่นต่อความต้องการของโลกที่กำลังพินาศ แต่พระองค์ก็ไม่ทรงเมินเฉยและไม่ทรงหวาดกลัวด้วยสิ่งเหล่านี้ แต่พระองค์ทรงสมบูรณ์แบบ และตั้งใจที่จะกระทำพันธกิจเพื่อที่จะถวายเกียรติแก่พระบิดาของพระองค์ และทรงให้ความสำคัญในสิ่งที่พระบิดาของพระองค์ทรงกระทำในชีวิตของพระองค์เท่านั้น “
ในฐานะผู้เชื่อ เราทั้งหลายมีอุดมการณ์ที่สำคัญที่สุดอยู่แล้ว(มัทธิว 28:19-20)
สิ่งที่คริสเตียนควรทำโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ เพื่อน ครอบครัวหรือแม้แต่พี่น้องคริสเตียนด้วยกันเอง ชักชวนหรือท้าทายให้ร่วมกลุ่มประท้วงเพื่อให้เราช่วยในการแก้ปัญหาใดๆ หรือได้รับคำชักชวนให้เข้าร่วมกลุ่มสนับสนุนสิ่งที่กำลังเป็นกระแสในสังคมอยู่ในขณะนี้ เป็นต้นว่า การบรรเทาความยากจนของโลก แม้ว่าจะไม่มีอะไรผิดกับการที่จะต่อสู้หรือพยายามแก้ไขปัญหาอะไรก็ตาม ให้เราระลึกไว้ว่าเราทั้งหลาย “เป็นเกลือและแสงสว่างของโลก” เราไม่ควรบังคับหรือกดดันผู้อื่นให้ตามกระแสเดียวกับเราถ้าเขาไม่ได้รู้สึกถึงเรื่องนี้อย่างจริงจัง(โรม 12:3-8)
การแก้ปัญหาของโลกไม่ใช่สิ่งที่คริสเตียนถูกเรียกให้ทำในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เราถูกเรียกให้เป็นแสงสว่างแก่ผู้อื่น และนำเขาทั้งหลายให้เข้ามาหาพระเจ้า เพื่อพวกเขาจะมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระองค์
เจมส์ เอ ฟาวเลอร์ อาจารย์ผู้สอนพระคัมภีร์กล่าวว่า “ข่าวประเสริฐ” ของศาสนาคริสต์คือตัวพระเยซูเอง ไม่ใช่วิธีแก้ไขปัญหาสังคมหรือปัญหาส่วนตัว แต่เขากล่าวต่อไปว่า “พระเยซูไม่ได้มาเพื่อเป็นวิธีแก้ปัญหา แต่เป็นพระผู้ไถ่ของมนุษยชาติ”
ดังนั้น ในพระวจนะคำตอนหนึ่งได้บอกว่า “ให้เราทั้งหลายทำทุกอย่างเพื่อพระสิริของพระเจ้า”(1 โครินธ์ 10:31) และเหนือสิ่งอื่นใด ในฐานะที่เราทั้งหลายเป็นคริสเตียน ดังนั้น เหตุผลหลักของเราคือการรับใช้พระเจ้าในพันธกิจของพระองค์ในการประกาศข่าวประเสิรฐเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้าตลอดชีวิตของเรา เพื่อที่เราจะได้รับชัยชนะซึ่งมาจากพระเจ้า
YOU MAY ALSO LIKE
กังวลจนไม่หลับไม่นอน
WRITER: Mustard Seed TeamEDITOR: Mustard Seed Team ฉันนอนไม่หลับทั้งคืน บางคืนเราก็มีอาการนอนไม่หลับ หลับๆ ตื่นๆ พอเช้าตื่นมาก็ไม่สดชื่น อารมณ์ไม่ดี การนอนไม่หลับส่งผลกระทบต่อคนส่วนใหญ่เป็นครั้งคราว แต่สําหรับบางคนอาจเจอปัญหานี้เป็นประจำ...
ทำไมเราถึงไม่กล้าปฏิเสธ
WRITER: ซาร่า โซ ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: สุมิตรา ชามรามดาบานEDITOR: ปวีณา นิลบุตร “ถ้าใช่ก็จงบอกว่าใช่ ถ้าไม่ใช่ก็จงบอกว่าไม่ใช่” (ยากอบ 5:12) ขณะที่ฉันเขียนข้อความนี้ ฉันเพิ่งจะพูดว่า "ไม่" ที่จะฟังความขัดข้องใจของแม่เรื่องคนสนิทในครอบครัว...
พระเจ้าช่วยฉันผ่านประสบการณ์เลวร้าย (ถูกล่วงละเมิดทางเพศ)
WRITER: แคทเธอรีน ฟลินน์ ต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก YMITRANSLATOR: Mustard Seed TeamEDITOR: Mustard Seed Team ในปี 2003 ฉันอายุ 24 ปี และอาศัยอยู่ในประเทศอังกฤษตอนที่ฉันถูกล่วงละเมิดทางเพศโดยเพื่อนร่วมห้องของฉัน...